การเสริมไอโอดีนในหญิงตั้งครรภ์ไทยที่ขาดไอโอดีนระดับไม่รุนแรงไม่มีผลต่อพัฒนาการของบุตร

ผู้แต่ง

  • สืบพงษ์ กอวชิรพันธ์ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลและ Division of Human Nutrition, Wageningen University, The Netherlands
  • สุวิมล รื่นเจริญ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
  • เบญญาชลี เตชะแสนศิริ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
  • ภูริศา เวชารักษ์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
  • พัตธนี วินิจจะกูล สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

คำสำคัญ:

การเสริมยาเม็ดไอโอดีน, หญิงตั้งครรภ์, พัฒนาการเด็ก

บทคัดย่อ

การขาดไอโอดีนระหว่างตั้งครรภ์ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสติปัญญาเด็ก มีคำแนะนำอย่างแพร่หลายในการให้ยาเม็ดไอโอดีนเสริมสำหรับหญิงตั้งครรภ์แต่ผลในระยะยาวของการได้รับยาเม็ดไอโอดีนยังไม่ชัดเจน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการได้รับยาเม็ดไอโอดีนเสริมปริมาณ 200 ไมโครกรัมต่อวันในหญิงตั้งครรภ์ไทยที่ขาดไอโอดีนระดับไม่รุนแรง ต่อผลของภาวะไอโอดีนในมารดาและพัฒนาการทางสติปัญญาของบุตรหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะการขาดไอโอดีนไม่รุนแรง (ค่ามัธยฐานปริมาณไอโอดีนในปัสสาวะ <150 ไมโครกรัมต่อลิตร)ได้รับการสุ่มเพื่อรับประทานยาเม็ดไอโอดีนปริมาณ 200 ไมโครกรัมต่อวันหรือยาเม็ดหลอก ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอด ตรวจวัดปริมาณไอโอดีนในปัสสาวะและไทรอยด์ฮอร์โมนตลอดการศึกษา ทดสอบพัฒนาการเด็กโดยใช้แบบทดสอบ Neonatal Behavioral Assessment Scale (NBAS) เมื่ออายุ 6 สัปดาห์ ใช้แบบทดสอบBayley Scales of Infant Development (BSID)-III เมื่ออายุ 1 และ 2 ปีใช้แบบทดสอบWechsler Preschool and Primary Scale of Intelligence (WPPSI)-III เมื่ออายุ 5-6 ปี ตรวจวัดระดับการได้ยินเด็กอายุ 5-6 ปี ด้วยเครื่อง Audiometerรุ่น GSI 61ผลการศึกษาพบว่า หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์เฉลี่ย 11 สัปดาห์ จำนวน 514 รายเข้าร่วมการศึกษา(กลุ่มควบคุม 263 ราย และกลุ่มไอโอดีน 251 ราย) ที่ไตรมาสสามค่ามัธยฐานปริมาณไอโอดีนในปัสสาวะของหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับไอโอดีนมีค่าเพิ่มขึ้น 2 เท่า (p<0.001) ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับยาหลอกไม่มีการเปลี่ยนแปลง (p>0.05) ปริมาณไทรอยด์ฮอร์โมนของทั้งสองกลุ่มไม่มีการเปลี่ยนแปลงและอยู่ในช่วงค่าปกติ ความชุกของปัญหาไทรอยด์ผิดปกติในมารดาทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) ค่ามัธยฐานปริมาณไอโอดีนในปัสสาวะของเด็กทั้งสองกลุ่มมีค่าสูงกว่าค่าแนะนำ (100 ไมโครกรัมต่อลิตร) และไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) ในทุกช่วงของการศึกษาคะแนนทดสอบพัฒนาการของเด็กทั้งสองกลุ่มในทุกการทดสอบไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) ผลการทดสอบระดับการได้ยินของทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) โดยสรุปการเสริมยาเม็ดไอโอดีนปริมาณ 200 ไมโครกรัมต่อวันในหญิงตั้งครรภ์ไทยที่ขาดไอโอดีนในระดับไม่รุนแรง ไม่มีผลต่อพัฒนาการทางด้านสติปัญญาของเด็กในระยะยาว อย่างไรก็ตามยังคงแนะนำให้ดำเนินการมาตรการเสริมนี้ต่อไป จนกว่ามาตรการหลักเรื่องเกลือเสริมไอโอดีนถ้วนหน้าในประเทศไทยจะประสบผลสำเร็จ

เอกสารอ้างอิง

1. Hetzel BS, Potter BJ, Dulberg EM. The iodine deficiency disorders: nature, pathogenesis and epidemiology. World Rev Nutr Diet. 1990;62:59-119.

2. WHO/UNICEF/ICCIDD. Assessment of iodine deficiency disorders and monitoring their elimination. 3rd ed. Geneva: WHO; 2007.

3. Winichagoon P. Thailand nutrition in transition: situation and challenges of maternal and child nutrition. Asia Pac J Clin Nutr. 2013;22(1):6-15.

4. Zimmermann MB, Delange F. Iodine supplementation in pregnant women in Europe: a review and recommendations. Eur J Clin Nutr. 2004;58:979-84.

5. Gowachirapant S, Jaiswal N, Melse-Boonstra A, Galetti V, Stinca S, Mackenzie I, et al. Effect of iodine supplementation in pregnant women on child neurodevelopment: a randomized, double-blind, placebo-controlled trial. Lancet Diabetes Endocrinol. 2017;5:853-63.

6. Pino S, Fang SL, Braverman LE. Ammonium persulfate: a safe alternative oxidizing reagent for measuring urinary iodine. Clin Chem. 1996;42:239-43.

7. Brazelton T, Nugent K. Neonatal Behavioral Assessment Scale. London, UK: Mac Keith Press; 1995.

8. Bayley N. Bayley Scales of Infant and Toddler Development. 3rd ed. San Antonio, TX: Pearson Education; 2006.

9. Ottem E. Confirmatory factor analysis of the WPPSI, WPPSI-R, and the WISC-R: evaluation of a model based on knowledge-dependent and processing-dependent subtests. J Psychoeduc Assess. 2003;21:3-15.

10. Gowachirapant S, Winichagoon P, Wyss L, Tong B, Baumgartner J, Melse-Boonstra A, et al. Urinary iodine concentrations indicate iodine deficiency in pregnant Thai women but iodine sufficiency in their school-aged children. J Nutr. 2009;139:1169-72.

11. Romano R, Jannini EA, Pepe M, Grimaldi A, Olivieri M, Spennati P, et al. The effects of iodoprophylaxis on thyroid size during pregnancy. Am J Obstet Gynecol. 1991;164:482-5.

12. Pedersen KM, Laurberg P, Iversen E, Knudsen PR, Gregersen HE, Rasmussen OS, et al. Amelioration of some pregnancy-associated variations in thyroid function by iodine supplementation. J Clin Endocrinol Metab. 1993;77:1078-83.

13. Liesenkotter KP, Gopel W, Bogner U, Stach B, Gruters A. Eariest prevention of endemic goiter by iodine supplementation during pregnancy. Eur J Endocrinol. 1996;134:443-8.

14. สุจิตต์ สาลีพันธ์, พูนศรี เลิศลักขณวงศ์, ณรงค์ สายวงศ์, สุทธาศินี จันทร์ใบเล็ก. คุณภาพเกลือเสริมไอโอดีนในครัวเรือน ปี2550. วารสารโภชนาการ. 2552;44:12-21.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

06/20/2018

รูปแบบการอ้างอิง

กอวชิรพันธ์ ส., รื่นเจริญ ส., เตชะแสนศิริ เ., เวชารักษ์ ภ., & วินิจจะกูล พ. (2018). การเสริมไอโอดีนในหญิงตั้งครรภ์ไทยที่ขาดไอโอดีนระดับไม่รุนแรงไม่มีผลต่อพัฒนาการของบุตร. วารสารโภชนาการ (Online), 53(1), 28–41. สืบค้น จาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAT/article/view/126120

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย