ปริมาณไอโอดีนในอาหารและขนมที่มีสีแดงหรือสีชมพู

ผู้แต่ง

  • นันทยา จงใจเทศ
  • นภาพรรณ วิริยะอุตสาหกุล
  • จุฑารัตน์ สุภานุวัฒน์

คำสำคัญ:

เออริโธรซิน, สีสังเคราะห์ผสมอาหาร, อาหาร

บทคัดย่อ

ในอุตสาหกรรมอาหารหลายชนิดมีการนำสีสังเคราะห์มาใช้ผสมอาหารเพื่อความสวยงามและดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภค จากผลการศึกษาปริมาณไอโอดีนในอาหารที่ผ่านมา พบว่ามีอาหารหลายชนิดโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์มีไอโอดีนสูง เนื่องมาจากการใส่สีสังเคราะห์ผสมอาหารที่มีชื่อว่าเออริโธรซิน สีนี้จะให้สีแดงอมชมพูทำให้อาหารน่ารับประทาน กรมอนามัยได้จัดทำโครงการเฝ้าระวังโรคขาดสารไอโอดีนแบบบูรณาการ ตั้งแต่ พ.ศ. 2554 - 2556 พบเด็กอายุ 3 - 5 ปี มีค่ามัธยฐานของปริมาณไอโอดีนในปัสสาวะ 229.2, 212.6 และ 226.6 ไมโครกรัม/ลิตร ตามลำดับ ค่ามัธยฐานของปริมาณไอโอดีนในปัสสาวะที่บ่งบอกว่าไม่ขาดไอโอดีนคือ 100 – 199 ไมโครกรัม/ลิตร หากมีค่า 200 - 299 ไมโครกรัม/ลิตร บ่งบอกว่ามีความเสี่ยงต่อการได้รับไอโอดีนเกิน จากผลดังกล่าวแสดงว่าเด็กกลุ่มนี้ไม่ขาดไอโอดีน แต่มีแนวโน้มว่าจะได้รับไอโอดีนค่อนข้างสูง ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาปริมาณไอโอดีนในอาหารโดยเฉพาะขนมและอาหารที่มีสีชมพูหรือสีแดงที่เด็กนิยมรับประทาน ซึ่งเด็กอาจจะได้รับไอโอดีนจากสีเออริโธรซินที่ใส่ในอาหาร วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้เพื่อศึกษาปริมาณไอโอดีนในอาหารและขนมที่มีสีแดงหรือสีชมพูที่เด็กนิยมบริโภค โดยเก็บอาหาร 5 ประเภท คือ ไส้กรอกและลูกชิ้น นมและผลิตภัณฑ์ น้ำหวาน ขนมและเยลลี่ จากร้านจำหน่ายบริเวณหน้าโรงเรียนและตลาด ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสุพรรณบุรี เพื่อวิเคราะห์หาปริมาณไอโอดีน ผลการศึกษาพบว่า อาหารที่มีสีชมพูมีไอโอดีนสูง ได้แก่ ไส้กรอกสีชมพู หรือสีแดงอมชมพู หรือสีน้ำตาลอมแดง นมปรุงแต่งกลิ่นสตรอเบอร์รี สายไหมสีชมพู ขนมเค้กสีชมพู ขนมถ้วยฟูสีชมพู ชิฟฟ่อนเค้กรสสตรอเบอร์รีสีชมพู เวเฟอร์สอดไส้ครีมสตรอเบอร์รี เมื่อทดสอบสีในอาหารเหล่านี้ พบว่า ใส่สีเออริโธรซิน ซึ่งสีสังเคราะห์นี้ตามสูตรเคมี มีไอโอดีนเป็นส่วนประกอบร้อยละ 57.7 โดยน้ำหนัก เมื่อนำสีนี้มาใส่ในอาหารทำให้อาหารมีไอโอดีนสูงไปด้วย ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ควรให้ข้อแนะนำแก่ผู้ผลิตอาหารในการใช้สีเออริโธรซิน และไม่ควรอนุญาตให้ใช้สีสังเคราะห์ใดๆ ในอาหารประเภทไส้กรอก และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์

เอกสารอ้างอิง

1. วรนันท์ ศุภพิพัฒน์. อาหาร โภชนาการและสารเป็นพิษ. กรุงเทพมหานคร: แสงไทยการพิมพ์; 2538.

2. Lee SM, Lewis J, Buss DH, Holcombe GD, Lawrance PR. lodine in British foods and diets. Br J Nutr. 1994;72(3):435-46.

3. Wikipedia. Erythrosine [Internet]. 2014 [cited 2014 Oct 27]. Available from https://en.wikipedia.org/wiki/Erythrosine.

4. The UK Food Guide. E127 Erythrosine [Internet]. Bangkok. 2003 [cited 2015 Feb 25]. Available from: https://www.ukfoodguid.net/e217.htm.

5. Jennings AS, Schwartz SL, Balter NJ, Gardner D, Witorsch RJ. Effects of oral erythrosine (2',4',5',7'-tetraiodofluorescein) on the pituitary-thyroid axis in rats. Toxicol Appl Pharmacol. 1990;103(3) :549-56.

6. จงกลนี วิทยารุ่งเรืองศรี. ปริมาณการใช้สีในขนมเด็กที่จำหน่ายในร้านขายของชำในเขตกรุงเทพมหานครและภาคกลาง. นนทบุรี: สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กองแผนงานและวิชาการ; 2539.

7. เวณิกา เบ็ญจพงษ์, วีรยา การพานิช, ปิยนุช วิเศษชาติ, กอบแก้ว ขันตี, จารุณี วงศ์เล็ก. การประเมินความเสี่ยงการได้รับสัมผัสสังเคราะห์ผสมอาหารจากการบริโภคอาหารของเด็กนักเรียนในเขตเมืองของกรุงเทพมหานครและเขตชนบทของจังหวัดนครปฐม. วารสารโภชนาการ. 2551;43(4):28-37.

8. ศักดา พรึงลำภู, วิชัย เอกพลากร. ภาวะโภชนาการของสารไอโอดีนในเด็ก. ใน: วิชัย เอกพลากร, บรรณาธิการ. รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2551 – 2552. นนทบุรี: บริษัทเดอะกราฟิโกซิสเต็มส์ จำกัด; 2553.

9. Moxon RE, Dixon EJ. Semi-automatic method for the determination of total iodine in food. Analyst. 1980;105(1249):344-52.

10. Bradley RL. Dairy products: Solids (Total) in milk. In: George WL, editor. Official Methods of Analysis of AOAC International. 19th ed. Maryland: Gaithersburg, Md: AOAC lnternational; 2012.

11. Kirk RS, Sawyer R. Peasons composition and analysis of foods. 9th ed. United Kingdom: Longman Scientific & Technical; 1991. p. 102-9.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

06/28/2016

รูปแบบการอ้างอิง

จงใจเทศ น., วิริยะอุตสาหกุล น., & สุภานุวัฒน์ จ. (2016). ปริมาณไอโอดีนในอาหารและขนมที่มีสีแดงหรือสีชมพู. วารสารโภชนาการ (Online), 51(1), 14–26. สืบค้น จาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAT/article/view/117044

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย