ผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเข้ารับบริการทันตกรรมของหญิงตั้งครรภ์ชนเผ่าม้ง อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์
คำสำคัญ:
โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม , บริการทันตกรรม , หญิงตั้งครรภ์ , ชนเผ่าม้งบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเข้ารับบริการทันตกรรมของหญิงตั้งครรภ์ชนเผ่าม้ง กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์ชนเผ่าม้งที่มารับบริการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเขาค้อ และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 62 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 31 คน เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเข้ารับบริการทันตกรรมของหญิงตั้งครรภ์ชนเผ่าม้ง อุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดกิจกรรม แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามการรับรู้ความรุนแรงของโรคปริทันต์อักเสบ มีค่าความเชื่อมั่น .86 แบบสอบถามการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคปริทันต์อักเสบ มีค่าความเชื่อมั่น .82 แบบสอบถามความคาดหวังในประสิทธิผลของการตอบสนองในการป้องกันการเกิดโรคปริทันต์อักเสบ มีค่าความเชื่อมั่น .94 แบบสอบถามความคาดหวังในความสามารถตนเองในการป้องกันโรคปริทันต์อักเสบ มีค่าความเชื่อมั่น .92 และแบบบันทึกการเข้ารับบริการทันตกรรม ดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2563 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน paired t-test, independent t-test, Chi-square test และ crude odds ratio
ผลการวิจัยพบว่า 1) หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความรุนแรงของโรคปริทันต์อักเสบ คะแนนเฉลี่ยการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคปริทันต์อักเสบ คะแนนเฉลี่ยความคาดหวังในประสิทธิผลของการตอบสนองในการป้องกันการเกิดโรคปริทันต์อักเสบ และคะแนนเฉลี่ยความคาดหวังในความสามารถตนเองในการป้องกันโรคปริทันต์อักเสบ สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 7.344, p < .001; t = 6.461, p < .001; t = 7.408, p < .001 และ t = 7.040, p < .001 ตามลำดับ) 2) หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความรุนแรงของโรคปริทันต์อักเสบ คะแนนเฉลี่ยการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคปริทันต์อักเสบ คะแนนเฉลี่ยความคาดหวังในประสิทธิผลของการตอบสนองในการป้องกันการเกิดโรคปริทันต์อักเสบ และคะแนนเฉลี่ยความคาดหวังในความสามารถตนเองในการป้องกันโรคปริทันต์อักเสบ สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 6.190, p < .001; t = 7.850, p < .001; t = 7.142, p < .001 และ t = 5.405, p < .001 ตามลำดับ) และ 3) หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีโอกาสเข้ารับบริการทันตกรรมมากกว่ากลุ่มควบคุม 3.39 เท่า (COR = 3.39, 95% CI = 1.18–9.71, p < .05)
จากการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่า บุคลากรสุขภาพควรนำโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเข้ารับบริการทันตกรรมของหญิงตั้งครรภ์ชนเผ่าม้งไปใช้ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น และประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นๆ อย่างเหมาะสม
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. (2558). แผนแม่บทการพัฒนากลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย (พ.ศ. 2558–2560). กรุงเทพฯ: ผู้แต่ง.
กองส่งเสริมความรอบรู้และสื่อสารสุขภาพ กรมอนามัย. (2563). สื่อมัลติมีเดียกรมอนามัย. สืบค้นจาก https://multimedia.anamai.moph.go.th/
นภัสวรรณ โอภาส, ศิริลักษณ์ กิจศรีไพศาล, และเบญญพร บรรณสาร. (2561). ผลของโปรแกรมการส่งเสริมแรงจูงใจในการป้องกันโรคต่อการรับรู้การป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกและการมารับการตรวจส่องกล้องปากมดลูกในสตรีที่มีผลการตรวจเซลล์เยื่อบุปากมดลูกผิดปกติ. วารสารพยาบาลทหารบก, 19(พิเศษ), 339–347.
โรงพยาบาลเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์. (2561). รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561. เพชรบูรณ์: ผู้แต่ง.
วงษ์ทิพ อินปั๋น. (2558). ผลของโปรแกรมทันตสุขศึกษาต่อพฤติกรรมการป้องกันการเกิดโรคฟันผุของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลปราจีนบุรี. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร, 10(1), 131–142.
วรภัทร กระทู้, อัมพวรรณ ศรีวิไล, และพอใจ พัทธนิตย์ธรรม. (2561). ความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อเรื่องการเจ็บป่วยของผู้ปกครองชาวม้งและการมารับบริการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีนขั้นพื้นฐานในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี. วารสารมหาวิทยาลัยนเรศวร: วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 26(2), 146–154.
วิศัลย์ โฆษิตานนท์. (2560). ชนเผ่าม้งบ้านเข็กน้อย. สืบค้นจาก https://wisonk.wordpress.com/2017/12/17/ชนเผ่าม้งบ้านเข็กน้อย/
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเพชรบูรณ์. (2558). จังหวัดเพชรบูรณ์เปิดศูนย์วัฒนธรรม 3 ชนเผ่า ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม. สืบค้นจาก http://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/news_detail.php?id=1782
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์. (2561). รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561. เพชรบูรณ์: ผู้แต่ง.
สิริลักษณ์ วงษาเนาว์. (2557). โปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากโดยการประยุกต์ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมจากสามีต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคเหงือกอักเสบในหญิงตั้งครรภ์ (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สุอัมพร ค้าทวี. (2563). สภาวะสุขภาพช่องปากที่เกี่ยวข้องกับภาวะทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อยของหญิงตั้งครรภ์ ในโรงพยาบาลดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี. วารสารแพทย์เขต 4-5, 39(2), 154–163.
อรุณรัตน์ ชื่นปลัด, ยินดี พรหมศิริไพบูลย์, และวันเพ็ญ แก้วปาน. (2560). ผลของโปรแกรมทันตสุขศึกษาโดยการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคและแรงสนับสนุนทางสังคมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันโรคฟันผุของอาสาสมัครสาธารณสุข. วารสารกรมการแพทย์, 42(4), 99–108.
Kurien, S., Kattimani, V. S., Sriram, R. R., Sriram, S. K., Rao, V. K. P., Bhupathi, A., … Patil, N. (2013). Management of pregnant patient in dentistry. Journal of International Oral Health, 5(1), 88–97. Retrieved from https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC3768073/
Ngamjarus, C., & Chongsuvivatwong, V. (2014). n4Studies: Sample size and power calculations for android. The Royal Golden Jubilee Ph.D. Program - The Thailand Research Fund, Prince of Songkla University.
Rogers, R. W. (1983). Cognitive and physiological processes in fear appeals and attitude change: A revised theory of protection motivation. In J. T. Cacioppo & R. E. Petty (Eds.), Social psychophysiology: A sourcebook (pp. 153–177). New York: Guilford.
Saddki, N., Bachok, N., Hussain, N. H., Zainudin, S. L., & Sosroseno, W. (2008). The association between maternal periodontitis and low birth weight infants among Malay women. Community Dentistry and Oral Epidemiology, 36(4), 296–304. doi:10.1111/j.1600-0528.2007.00383.x
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
หมวดหมู่
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อความ ข้อมูล และรายการอ้างอิงที่ผู้เขียนใช้ในการเขียนบทความเพื่อลงตีพิมพ์ในวารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ถือเป็นความคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียน คณะผู้จัดทำวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วยหรือร่วมรับผิดชอบ
บทความที่ได้รับการลงตีพิมพ์ในวารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี หากหน่วยงานหรือบุคคลใดต้องการนำส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของบทความไปเผยแพร่ต่อเพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตจากบรรณาธิการวารสารก่อน