ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจในการดูแลแบบแกงการูของมารดาต่อการทำหน้าที่ทางสรีรวิทยาของทารกเกิดก่อนกำหนดที่มีภาวะหายใจลำบาก

ผู้แต่ง

  • เยาวรัตน์ สุภาษี คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • จุฑามาศ โชติบาง คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • พิมพาภรณ์ กลั่นกลิ่น คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

คำสำคัญ:

โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจ, ทารกเกิดก่อนกำหนด, การดูแลแบบแกงการู, การทำหน้าที่ทางสรีรวิทยา, กลุ่มอาการหายใจลำบากในทารกเกิดก่อนกำหนด

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจในการดูแลแบบแกงการูของมารดาต่อการทำหน้าที่ทางสรีรวิทยาของทารกเกิดก่อนกำหนดที่มีภาวะหายใจลำบาก กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาและทารกเกิดก่อนกำหนดที่มีภาวะหายใจลำบาก และรับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิด โรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 30 คู่ แบ่งออกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 15 คู่ เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจในการดูแลแบบแกงการูของมารดา รูปทารกเกิดก่อนกำหนด วิดีโอเรื่อง การดูแลทารกแบบแกงการู แผ่นพับเรื่อง การดูแลทารกแบบแกงการู อุปกรณ์ที่ใช้ในการดูแลทารกแบบแกงการู แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบบันทึกการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของทารกเกิดก่อนกำหนด และ pulse oximeter ดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนตุลาคม 2563 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Chi-square test, Fisher’s exact test, repeated measure ANOVA และ independent t-test

ผลการวิจัยพบว่า 1) ทารกกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด ก่อน ขณะ และหลังการทดลอง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F = 18.850, p < .001) 2) ทารกกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 2.050, p < .05) 3) ทารกกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยอัตราการเต้นของหัวใจ ก่อน ขณะ และหลังการทดลอง ไม่แตกต่างกัน และ 4) ทารกกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยอัตราการเต้นของหัวใจไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม

จากการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่า พยาบาลควรนำโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจในการดูแลแบบแกงการูของมารดานี้ ไปใช้ในการดูแลทารกเกิดก่อนกำหนดที่มีภาวะหายใจลำบาก เพื่อให้ทารกเกิดก่อนกำหนดมีการทำหน้าที่ทางสรีรวิทยาที่ดีขึ้น

เอกสารอ้างอิง

กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. (2563). สถิติสาธารณสุข พ.ศ. 2562. สืบค้นจาก http://www.pcko.moph.go.th/Health-Statistics/statistic2562.pdf

เกรียงศักดิ์ จีระแพทย์. (2559). การดูแลทารกแรกเกิดตามเกณฑ์กรมอนามัย. สืบค้นจาก http://hpc9.anamai.moph.go.th/ewt_dl_link.php?nid=963

ประชา นันท์นฤมิต. (บ.ก.). (2558). การประยุกต์ความรู้ทางสรีรวิทยาในการดูแลทารกแรกเกิด. กรุงเทพฯ: โฮลิสติก พับลิชชิ่ง.

ปิยภรณ์ ปัญญาวชิร, และยิ่งขวัญ อยู่รัตน์. (2559). ผลของการให้แม่โอบกอดลูกแบบเนื้อแนบเนื้อ ต่ออุณหภูมิร่างกายและความอิ่มตัวออกซิเจนของทารกแรกเกิดครบกำหนดในห้องคลอด โรงพยาบาลรามาธิบดี. วารสารสาธารณสุขศาสตร์, 46(1), 82–94.

พัณณ์ชิตา ดวงคิด, จุฑามาศ โชติบาง, และมาลี เอื้ออำนวย. (2562). ผลของการห่อตัวต่อระยะการนอนหลับของทารกเกิดก่อนกำหนด. พยาบาลสาร, 46(3), 181–194.

ยิ่งรัก บุญดำ. (2563). การตอบสนองของสมองต่อความเครียด. สืบค้นจาก http://healthydee.moph.go.th/view_article.php?id=979

ยุพาพร ปรีชากุล, และธีราพร สุภาพันธุ์. (2542). การใช้ยา theophylline ในเด็กทารก. ศรีนครินทร์เวชสาร, 14(2), 118–131.

ราตรี สุดทรวง, และวีระชัย สิงหนิยม. (2550). ประสาทสรีรวิทยา (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ศลิษา โกดยี่, มาลี เอื้ออำนวย, และพิมพาภรณ์ กลั่นกลิ่น. (2560). ผลของการสวมหมวกลดระดับเสียงต่อระยะหลับตื่นของทารกเกิดก่อนกำหนดที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาล. พยาบาลสาร, 44(2), 57–67.

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่. (2564). ผลลัพธ์การให้บริการ Service plan รายสาขา. สืบค้นจาก http://healthregion1.chiangmaihealth.go.th/frontend/web/cmi

สุขเกษม โฆษิตเศรษฐ, ยุวลักษณ์ ธรรมเกษร, ศริยา ประจักษ์ธรรม, พรทิพา อิงคกุล, พรรณพัชร พิริยะนนท์, และประภาศรี กุลาเลิศ. (บ.ก.). (2560). ตำรากุมารเวชศาสตร์ สำหรับนักศึกษาแพทย์และแพทย์เวชปฏิบัติ เล่ม 1 (พิมพ์ครั้งที่ 2). ปทุมธานี: ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

อติพร ศิวิชัย. (2559). ผลของโปรแกรมการพยาบาลเพื่อเสริมสร้างพลังอำนาจต่อการปรับตัวในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาที่มีทารกคลอดก่อนกำหนด. วารสารวิชาการสาธารณสุข, 25(6), 939–949.

Ballard, J. L., Khoury, J. C., Wedig, K., Wang, L., Eilers-Walsman, B. L., & Lipp, R. (1991). New Ballard Score, expanded to include extremely premature infants. The Journal of Pediatrics, 119(3), 417–423. doi:10.1016/s0022-3476(05)82056-6

Bloch-Salisbury, E., Zuzarte, I., Indic, P., Bednarek, F., & Paydarfar, D. (2014). Kangaroo care: Cardio-respiratory relationships between the infant and caregiver. Early Human Development, 90(12), 843–850. doi:10.1016/j.earlhumdev.2014.08.015

Burns, N., & Grove, S. K. (2009). The practice of nursing research: Appraisal, synthesis, and generation of evidence (6th ed.). St. Louis, MO: Saunders Elsevier.

Eksirinimit, T., Punthmatharith, B., Bansopit, N., & Kusol, K. (2023). Effects of kangaroo care on body temperature of premature infants and maternal satisfaction at Maharaj Nakhon Si Thammarat hospital, Thailand. Journal of Neonatal Nursing, 29(2), 302–306. doi:10.1016/j.jnn.2022.07.005

Feldman, R., & Eidelman, A. I. (2003). Skin-to-skin contact (kangaroo care) accelerates autonomic and neurobehavioural maturation in preterm infants. Developmental Medicine & Child Neurology, 45(4), 274–281. doi:10.1017/s0012162203000525

Föhe, K., Kropf, S., & Avenarius, S. (2000). Skin-to-skin contact improves gas exchange in premature infants. Journal of Perinatology, 20(5), 311–315. doi:10.1038/sj.jp.7200378

Gao, H., Xu, G., Gao, H., Dong, R., Fu, H., Wang, D., ... Zhang, H. (2015). Effect of repeated kangaroo mother care on repeated procedural pain in preterm infants: A randomized controlled trial. International Journal of Nursing Studies, 52(7), 1157–1165. doi:10.1016/j.ijnurstu.2015.04.006

Gebuza, G., Kazmierczak, M., & Lenska, K. (2022). The effects of kangaroo mother care and music listening on physiological parameters, oxygen saturation, crying, awake state and sleep in infants in NICU. The Journal of Maternal-Fetal & Neonatal Medicine, 35(19), 3659–3669. doi:10.1080/14767058.2020.1836619

Gibson, C. H. (1995). The process of empowerment in mothers of chronically ill children. Journal of Advanced Nursing, 21(6), 1201–1210. doi:10.1046/j.1365-2648.1995.21061201.x

Giuliodori, M. J., Lujan, H. L., Janbaih, H., & DiCarlo, S. E. (2010). How does a hopping kangaroo breathe?. Advances in Physiology Education, 34(4), 228–232. doi:10.1152/advan.00050.2010

Glass, H. C., Costarino, A. T., Stayer, S. A., Brett, C. M., Cladis, F., & Davis, P. J. (2015). Outcomes for extremely premature infants. Anesthesia and Analgesia, 120(6), 1337–1351. doi:10.1213/ANE.0000000000000705

Jesintha Josphin, W. (2020). A study to evaluate the effectiveness of kangaroo mother care on physiological parameters among preterm infants in selected hospital at Madurai (Doctoral dissertation). Madurai: Tamil Nadu Dr MGR Medical University.

Schraufanagel, E. D. (2010). Respiratory distress syndrome. Retrieved from https://www.thoracic.org/patients/patient-resources/breathing-in-america /resources/chapter-19-respiratory-distress-syndr.pdf

World Health Organization. (2003). Kangaroo mother care: A practical guide. Retrieved from https://iris.who.int/handle/10665/42587

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2023-12-29

รูปแบบการอ้างอิง

สุภาษี เ., โชติบาง จ., & กลั่นกลิ่น พ. (2023). ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจในการดูแลแบบแกงการูของมารดาต่อการทำหน้าที่ทางสรีรวิทยาของทารกเกิดก่อนกำหนดที่มีภาวะหายใจลำบาก. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี, 34(2), 237–251. สืบค้น จาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pnc/article/view/264606