ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ยาของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มารับบริการที่คลินิกพิเศษ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช

ผู้แต่ง

  • ธัญรดี ปราบริปู วิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศ

คำสำคัญ:

พฤติกรรมการใช้ยา, ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบหาความสัมพันธ์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้ยา และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ยาของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มารับบริการที่คลินิกพิเศษ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช จำนวน 100 คน เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ยา มีค่าความเชื่อมั่น .79 และแบบสอมถามพฤติกรรมการใช้ยาของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง มีค่าความเชื่อมั่น .74 เก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563 ถึงเดือนมีนาคม 2564 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน

ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการใช้ยาโดยรวมในระดับดี (M = 3.51, SD = .39) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการใช้ยาของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การรับรู้ประโยชน์ของการรับประทานยา (rs = .353, p < .001) การรับรู้ความรุนแรงของโรค (rs = .283, p < .01) แรงสนับสนุนของครอบครัว (rs = .249, p < .05) และแรงสนับสนุนของเจ้าหน้าที่ในการรับประทานยา (rs = .234, p < .05) ส่วนปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับพฤติกรรมการใช้ยาของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ การรับรู้อุปสรรคในการรับประทานยา (rs = -.294, p < .01)

จากการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่า บุคลากรทางสุขภาพควรส่งเสริมให้ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมีการรับรู้ประโยชน์ของการรับประทานยา และการรับรู้ความรุนแรงของโรค รวมทั้งลดการรับรู้อุปสรรคในการรับประทานยา เพื่อให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมการใช้ยาที่เหมาะสมยิ่งขึ้น

เอกสารอ้างอิง

กมลภู ถนอมสัตย์, และวิไล ตาปะสี. (2558). รูปแบบการปรับพฤติกรรมการใช้ยารักษาตามแผนการรักษาของผู้สูงอายุความดันโลหิตสูงในชุมชน. วารสารวิจัยเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่, 7(2), 36–49.

ญาดา เรียมริมมะดัน, และพงษ์ณุวัฒน์ สมบัติภูธร. (2561). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการรับประทานยาของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในชุมชน อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา. วารสารการพยาบาล การสาธารณสุข และการศึกษา, 19(1), 132–144.

ณัชชา เจริญสรรพกิจ. (2563). ความสัมพันธ์ระหว่างแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ การรับรู้อาการเตือน กับพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง. วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว, 3(3), 46–58.

ทักษพล ธรรมรังสี. (2557). รายงานสถานการณ์โรค NCDs: วิกฤตสุขภาพ วิกฤตสังคม. กรุงเทพฯ: สำนักวิจัยนโยบายสร้างเสริมสุขภาพ. สืบค้นจาก http://www.ihppthaigov.net/DB/publication/attachbook/165/chapter1.pdf

ธวัชชัย วรพงศธร, และสุรีย์พันธุ์ วรพงศธร. (2561). การคำนวณขนาดตัวอย่างสำหรับงานวิจัย โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป G*Power. วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม, 41(2), 11–21.

แผนกเวชระเบียนและสถิติ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช. (2563). สถิติผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ปี 2560–2562. กรุงเทพฯ: ผู้แต่ง.

วริศรา ปั่นทองหลาง, ปานจิต นามพลกรัง, และวินัฐ ดวงแสนจันทร์. (2561). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้. วารสารพยาบาลสงขลานครินทร์, 38(4), 152–165.

วิภาภรณ์ วังวรตระกูล, นันทวัน สุวรรณรูป, และกนกพร หมู่พยัคฆ์. (2560). ปัจจัยทำนายการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ. วารสารพยาบาลทหารบก, 18(1), 131–139.

ศศิธร รุ่งสว่าง. (2560). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความร่วมมือในการใช้ยาหลายขนานของผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง. วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม, 18(35), 6–23.

สมลักษณ์ เทพสุริยานนท์. (2560). พฤติกรรมการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงวัยผู้ใหญ่. วารสารพยาบาลทหารบก, 18(3), 115–122.

สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย. (2562). แนวทางการรักษาโรคความดันโลหิตสูงในเวชปฏิบัติทั่วไป พ.ศ. 2562. เชียงใหม่: ทริค ธิงค์. สืบค้นจาก http://www.thaihypertension.org/files/HT%20guideline%202019.with%20watermark.pdf

สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค. (2563). รายงานสถานการณ์โรคไม่ติดต่อ (NCDs) พ.ศ. 2562. กรุงเทพฯ: อักษรกราฟฟิค แอนด์ ดีไซน์.

Becker, M. H. (1974). The health belief model and sick role behavior. Health Education Monographs, 2(4), 409–419. doi:10.1177/109019817400200407

Maiman, L. A., & Becker, M. H. (1974). The health belief model: Origins and correlates in psychological theory. Health Education Monographs, 2(4), 336–353. Retrieved from http://citeseerx.ist.psu.edu/viewdoc/download?doi=10.1.1.856.1372&rep=rep1&type=pdf

Ramli, A., Ahmad, N. S., & Paraidathathu, T. (2012). Medication adherence among hypertensive patients of primary health clinics in Malaysia. Patient Preference and Adherence, 6, 613–622. doi:10.2147/PPA.S34704

Rosenstock, I. M., Strecher, V. J., & Becker, M. H. (1988). Social learning theory and the health belief model. Health Education Quarterly, 15(2), 175–183. doi:10.1177/109019818801500203

Weber, M. A., Schiffrin, E. L., White, W. B., Mann, S., Lindholm, L. H., Kenerson, J. G., … Harrap, S. B. (2013). Clinical practice guidelines for the management of hypertension in the community: A statement by the American Society of Hypertension and the International Society of Hypertension. Retrieved from http://www.ash-us.org/documents/ash_ish-guidelines_2013.pdf

World Health Organization. (2021). Hypertension. Retrieved from https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hypertension

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2021-12-22

รูปแบบการอ้างอิง

ปราบริปู ธ. (2021). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ยาของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มารับบริการที่คลินิกพิเศษ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี, 32(2), 184–194. สืบค้น จาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pnc/article/view/252398

ฉบับ

ประเภทบทความ

รายงานการวิจัย (Research Report)