การพัฒนาระบบแนะนำการดูแลญาติผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย
คำสำคัญ:
ญาติผู้ดูแล, คนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย, ระบบแนะนำการดูแล, เทคโนโลยีทางสุขภาพบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา เพื่อพัฒนาระบบแนะนำการดูแลญาติผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย ดำเนินการ 4 ระยะ ได้แก่ 1) การศึกษาความเป็นไปได้และความต้องการในการพัฒนาระบบแนะนำการดูแลญาติผู้ดูแลคนพิการพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย โดยใช้แบบสัมภาษณ์ชนิดกึ่งโครงสร้างกับผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาพยาบาล การบริหารการพยาบาล การปฏิบัติการพยาบาล การปฏิบัติการดูแลสุขภาพอื่น และการพัฒนาโปรแกรมทางสุขภาพ จำนวน 15 คน ที่เลือกแบบเจาะจง 2) การสร้างระบบแนะนำการดูแลญาติผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย โดยการประยุกต์เทคโนโลยี ทบทวนวรรณกรรม และชุดข้อมูลภายใต้บริบทสังคมไทย 3) การทดสอบประสิทธิภาพและความพึงพอใจต่อระบบแนะนำการดูแลญาติผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย โดยใช้แบบประเมินประสิทธิภาพและความพึงพอใจกับพยาบาลชุมชน จำนวน 60 คน ที่เลือกแบบเจาะจง และ 4) การปรับปรุงระบบแนะนำการดูแลญาติผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย ตามคำแนะนำ ทั้งนี้ ข้อมูลเชิงคุณภาพนำมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ส่วนข้อมูลเชิงปริมาณนำมาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา
ผลการวิจัย พบว่า “ระบบแนะนำการดูแลญาติผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย” เป็นเทคโนโลยีทางสุขภาพที่สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการปฏิบัติงานของพยาบาลให้สามารถปฏิบัติงานได้ง่ายขึ้น ซึ่งมี 2 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ส่วนการบริหารจัดการฐานข้อมูลที่เครื่องแม่ข่าย และ 2) ส่วนการนำเสนอระบบบนเว็บไซต์ โดยการบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลปัจจัยที่สัมพันธ์กับสุขภาพของญาติผู้ดูแลแบบออนไลน์ การวิเคราะห์ความเสี่ยงทางสุขภาพโดยระบบผู้เชี่ยวชาญและโครงข่ายประสาทเทียม และการให้คำแนะนำสำหรับพยาบาลในการดูแลญาติผู้ดูแลเป็นรายบุคคล ภายหลังการทดลองใช้ระบบแนะนำการดูแลญาติผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย พบว่า ประสิทธิภาพในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก (M = 4.53, SD = .71) โดยด้านความเร็วในการประมวลผลมีคะแนนสูงที่สุด (M = 4.69, SD = .55) รองลงมา คือ ความถูกต้องแม่นยำ (M = 4.51, SD = .69) และความสามารถในการให้บริการ (M = 4.42, SD = .89) ส่วนความพึงพอใจ พบว่าในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (M = 4.32, SD = .84) โดยมีความพึงพอใจด้านเนื้อหาสาระมากกว่าด้านการนำเสนอ (M = 4.45, SD = .72 และ M = 4.22, SD = .96 ตามลำดับ)
จากผลการวิจัยครั้งนี้สะท้อนว่า ระบบแนะนำการดูแลญาติผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกายเป็นประโยชน์สำหรับพยาบาลในการวางแผนการดูแลญาติผู้ดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย จึงควรสนับสนุนให้พยาบาลโดยเฉพาะพยาบาลที่ปฏิบัติงานในชุมชนใช้อย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มคุณภาพการพยาบาลที่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของญาติผู้ดูแลแต่ละราย นำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีของญาติผู้ดูแลและสามารถคงไว้ซึ่งบทบาทการดูแลคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย
เอกสารอ้างอิง
กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. (2563). รายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านคนพิการในประเทศไทย. สืบค้นจาก http://nadt.or.th/en/stat60.html
ณัชศฬา หลงผาสุข, สุปรีดา มั่นคง, และยุพาพิน ศิรโพธิ์งาม. (2561). ภาวะสุขภาพ และการดูแลตนเองของญาติผู้ดูแลวัยสูงอายุที่ดูแลผู้สูงอายุที่ติดเตียง. วารสารสภาการพยาบาล, 33(2), 97–109.
ธานินทร์ ศิลป์จารุ. (2560). การวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วย SPSS และ AMOS (พิมพ์ครั้งที่ 17). กรุงเทพฯ: บิสซิเนสอาร์แอนด์ดี.
ปองพล นิลพฤกษ์, และกีรติบุตร กาญจนเสถียร. (2560). ระบบแนะนำกิจกรรมสําหรับการลดน้ำหนักโดยการประยุกต์ใช้ฐานความรู้แบบออนโทโลยี. วารสารวิจัยราชมงคลกรุงเทพ, 11(1), 8–16.
วิไล คุปต์นิรัติศัยกุล, พวงแก้ว ธิติสกุลชัย, สุพิน สาริกา, และศิริลักษณ์ แก้วนารี. (2561). ภาระของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง 1 ปี หลังจําหน่ายออกจากโรงพยาบาล: การศึกษาสหสถาบัน. เวชศาสตร์ฟื้นฟูสาร, 28(1), 8–14.
วิไรวรรณ แสนชะนะ. (2559). ระบบแนะนำการนวดไทยเพื่อการบำบัดรักษา. วารสารเทคโนโลยีสารสนเทศ, 12(2), 42–50.
ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. (2560). ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (2560–2569). สืบค้นจาก https://ict.moph.go.th/upload_file/files/eHealth_Strategy_THAI_16NOV17.pdf
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2563). การสำรวจความพิการ พ.ศ. 2560. สืบค้นจาก http://www.nso.go.th/sites/2014/DocLib13/ด้านสังคม/สาขาสวัสดิการสังคม/ความพิการ/2560/full_report_60.pdf
เอกสิทธิ์ พัชรวงศ์ศักดา. (2557). การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคดาต้า ไมน์นิง เบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: ดาต้า คิวบ์.
Bronfenbrenner, U. (Ed.). (2005). Making human beings human: Bioecological perspectives on human development. California: SAGE Publications.
Han, Q., de Troya, Í. M. d. R., Ji, M., Gaur, M., & Zejnilovic, L. (2018). A collaborative filtering recommender system in primary care: Towards a trusting patient-doctor relationship. In Paper presented at the 2018 IEEE International Conference on Healthcare Informatics (ICHI).
Lawang, W. (2013). Developing support for Thai family caregivers of adults with a physical disability: A community-based action research study (Doctoral dissertation). Melbourne: La Trobe University.
Lawang, W., Horey, D. E., & Blackford, J. (2015). Family caregivers of adults with acquired physical disability: Thai case-control study. International Journal of Nursing Practice, 21(1), 70–77. doi:10.1111/ijn.12215
Muller-Kluits, N., & Slabbert, I. (2018). Caregiver burden as depicted by family caregivers of persons with physical disabilities. Social Work/ Maatskaplike Werk, 54(4), 493–502. doi:10.15270/54-4-676
Polit, D. F., & Beck, C. T. (2017). Nursing research: Generating and assessing evidence for nursing practice (10th ed.). Philadelphia, PA: Wolters Kluwer Health.
The Economic and Social Commission for Asia and the Pacific. (2019). Disability at a glance 2019: Investing in accessibility in Asia and the Pacific. Retrieved from https://www.unescap.org/sites/default/files/publications/SDD-DAG-2019.pdf
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2021 วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อความ ข้อมูล และรายการอ้างอิงที่ผู้เขียนใช้ในการเขียนบทความเพื่อลงตีพิมพ์ในวารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ถือเป็นความคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียน คณะผู้จัดทำวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วยหรือร่วมรับผิดชอบ
บทความที่ได้รับการลงตีพิมพ์ในวารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี หากหน่วยงานหรือบุคคลใดต้องการนำส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของบทความไปเผยแพร่ต่อเพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตจากบรรณาธิการวารสารก่อน