รูปแบบการพัฒนาแกนนำด้านสุขภาพในการสนับสนุนการจัดการตนเองเพื่อป้องกันโรคเรื้อรัง สำหรับนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี
คำสำคัญ:
แกนนำด้านสุขภาพ, การจัดการตนเอง, โรคเรื้อรังบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อศึกษารูปแบบการพัฒนาแกนนำด้านสุขภาพในการสนับสนุน การจัดการตนเองเพื่อป้องกันโรคเรื้อรังสำหรับนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 136 คน เครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วยแบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับแนวคิดการสนับสนุนการจัดการตนเอง มีค่าความเชื่อมั่น .76 แบบประเมิน สมรรถนะการสนับสนุนการจัดการตนเอง มีค่าความเชื่อมั่น .90 แบบประเมินความคิดเห็นต่อการเป็นแกนนำ ด้านสุขภาพ มีค่าความเชื่อมั่น .95 และแนวคำถามเกี่ยวกับความคิดเห็นต่อการเป็นแกนนำด้านสุขภาพ ดำเนินการ วิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนธันวาคม 2559 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ paired t-test ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการพัฒนาแกนนำด้านสุขภาพในการสนับสนุนการจัดการตนเองเพื่อป้องกัน โรคเรื้อรังสำหรับนักศึกษาพยาบาล ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1.1 การเตรียมความพร้อมด้านความรู้เกี่ยวกับ แนวคิดการสนับสนุนการจัดการตนเอง และการทำงานเป็นทีม 1.2 การพัฒนาสมรรถนะแกนนำด้านสุขภาพฯ 1.3 การส่งเสริมการปฏิบัติบทบาทแกนนำด้านสุขภาพฯ และ 1.4 การติดตามประเมินผลและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 2) หลังเข้าร่วมโครงการ นักศึกษาพยาบาลมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับแนวคิดการสนับสนุนการจัดการตนเอง ในผู้ป่วยโรคเรื้อรังสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโครงการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 1.939, p < .05) มีคะแนนเฉลี่ย สมรรถนะการสนับสนุนการจัดการตนเองฯ โดยรวมในระดับสูง (M = 4.29, SD = .40) และมีคะแนนเฉลี่ย ความคิดเห็นต่อการเป็นแกนนำด้านสุขภาพฯ โดยรวมในระดับมาก (M = 4.27, SD = .43) และ 3) นักศึกษาพยาบาลมีความสามารถในการคิดริเริ่มออกแบบโครงการ การคิดค้นนวัตกรรม และได้ปฏิบัติบทบาทแกนนำด้านสุขภาพฯ โดยผู้เข้าร่วมโครงการมีความพึงพอใจในระดับมาก
จากการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่าวิทยาลัยฯ ควรนำรูปแบบการพัฒนาแกนนำด้านสุขภาพนี้ไปใช้ ในการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาอื่น เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาพยาบาลมีการนำแนวคิดเรื่องการจัดการตนเองไปพัฒนา ให้เกิดรูปแบบการป้องกันโรคเรื้อรังต่อไป
เอกสารอ้างอิง
จันทร์เพ็ญ หวานคำ. (2555). ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมการควบคุมโรคความดันโลหิตสูงและค่าเฉลี่ยความดันหลอดเลือดแดงของผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ชดช้อย วัฒนะ, จงรักษ์ ศุภกิจเจริญ, ณฐวรรณ รักวงศ์ประยูร, และปริญญา แร่ทอง. (2558). ผลของโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะการจัดการตนเองเพื่อควบคุมโรคต่อพฤติกรรมการควบคุมโรค ระดับความดันโลหิต และคุณภาพชีวิตของผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูง ในการศึกษาระยะยาว. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี, 26(เพิ่มเติม 1), 72-89.
พิมพ์ใจ อุ่นบ้าน. (2555). รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำด้านการสร้างเสริมสุขภาพของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาล สังกัดสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข. วารสารการพยาบาลและการศึกษา, 5(3), 88-101.
ลดาวัลย์ ฤทธิ์กล้า, ชดช้อย วัฒนะ, และพีระพงค์ กิติภาวงค์. (2555). ผลของโปรแกรมการส่งเสริมการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมการจัดการตนเอง ภาวะหายใจลำบาก ความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว. พยาบาลสาร, 39(1) 64-76.
วิโรจน์ สารรัตนะ. (2556). กระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษา กรณีทัศนะต่อการศึกษาศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: ทิพยวิสุทธิ์.
สถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์ กรมการแพทย์. (2556). สถานการณ์โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และภาวะแทรกซ้อนในประเทศไทย. สืบค้นจาก https://www.dms.moph.go.th/imrta/
Altrichter, H., Kemmis, S., McTaggart, R., & Zuber-Skerritt, O. (2002). The concept of action research. The Learning Organization, 9(3), 125-131.
Bandura, A. (1997). Self-efficacy: The exercise of control. New York: Freeman.
Bass, B. M., & Bass, R. (2008). The Bass handbook of leadership: Theory, research, and managerial applications (4th ed.). New York: Free Press.
Creer, T. L. (2000). Self-management of chronic illness. In M. Boekaerts, P. R. Pintrich, & M. Zeidner (Eds.), Handbook of self-regulation (pp. 601-630). San Diego, CA: Academic Press.
Grundy, S. (1987). Curriculum: Product or praxis. London: Falmer Press.
Holter, I. M., & Schwartz-Barcott, D. (1993). Action research: What is it? How has it been used and how can it be used in nursing?. Journal of Advanced Nursing, 18(2), 298-304.
Pratt, S. (2003). Cooperative learning strategies. The Science Teacher, 70(4), 25-29.
Riding, P., Fowell, S., & Levy, P. (1995). An action research approach to curriculum development. Information Research, 1(1), 1-7.
Sokovic, M., Pavletic, D., & Pipan, K. K. (2010). Quality improvement methodologies–PDCA cycle, RADAR matrix, DMAIC and DFSS. Journal of Achievements in Materials and Manufacturing Engineering, 43(1), 476-483.
Sung, H. Y., & Hwang, G. J. (2013). A collaborative game-based learning approach to improving students’ learning performance in science courses. Computers & Education, 63, 43-51.
Wagner, E. H., Glasgow, R. E., Davis, C., Bonomi, A. E., Provost, L., McCulloch, D., … Sixta, C. (2001). Quality improvement in chronic illness care: A collaborative approach. Joint Commission Journal on Quality Improvement, 27(2), 63-80.
Wattana, C., Srisuphan, W., Pothiban, L., & Upchurch, S. L. (2007). Effects of a diabetes self-management program on glycemic control, coronary heart disease risk, and quality of life among Thai patients with type 2 diabetes. Nursing & Health Sciences, 9(2), 135-141.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2018 วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อความ ข้อมูล และรายการอ้างอิงที่ผู้เขียนใช้ในการเขียนบทความเพื่อลงตีพิมพ์ในวารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ถือเป็นความคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียน คณะผู้จัดทำวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วยหรือร่วมรับผิดชอบ
บทความที่ได้รับการลงตีพิมพ์ในวารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี หากหน่วยงานหรือบุคคลใดต้องการนำส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของบทความไปเผยแพร่ต่อเพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตจากบรรณาธิการวารสารก่อน