การประยุกต์ใช้รูปแบบโรงเรียนพ่อแม่ตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้ด้วยหลักการพัฒนาสมอง ในการดูแลสตรีตั้งครรภ์แรก โรงพยาบาลสมุทรปราการ
คำสำคัญ:
รูปแบบโรงเรียนพ่อแม่, หลักการพัฒนาสมอง, สตรีตั้งครรภ์แรกบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อประยุกต์ใช้และศึกษาผลของการประยุกต์ใช้รูปแบบโรงเรียนพ่อแม่ตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้ด้วยหลักการพัฒนาสมอง ในการดูแลสตรีตั้งครรภ์แรก กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยสตรีตั้งครรภ์แรกที่มารับบริการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ จำนวน 20 คน สามีของสตรีตั้งครรภ์แรก จำนวน 20 คน พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในแผนกฝากครรภ์ ห้องคลอด และแผนกสูติกรรมหลังคลอด และสูติแพทย์ จำนวนทั้งสิ้น 5 คน เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามการรับรู้เกี่ยวกับบริการที่ได้รับจากบุคลากรทางการแพทย์ มีค่าความเชื่อมั่น .69 แบบสอบถามความต้องการได้รับบริการจากบุคลากรทางการแพทย์ มีค่าความเชื่อมั่น .93 แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเข้าร่วมกิจกรรม มีค่าความเชื่อมั่น .84 แบบทดสอบความรู้ในการปฏิบัติตน มีค่าความเชื่อมั่น .78 แบบสอบถามพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ มีค่าความเชื่อมั่น .75 แบบบันทึกน้ำหนักทารกแรกคลอด แนวทางการสัมภาษณ์ และแนวทางการสนทนากลุ่ม ดำเนินการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูล 3 ระยะ ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤศจิกายน 2560 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน paired t-test และวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า 1) สตรีตั้งครรภ์แรกมีค่าเฉลี่ยคะแนนการรับรู้เกี่ยวกับบริการที่ได้รับจากบุคลากรทางการแพทย์โดยรวม และค่าเฉลี่ยคะแนนความต้องการได้รับบริการจากบุคลากรทางการแพทย์โดยรวม ในระดับมาก ( = 3.86, SD = .32 และ = 4.39, SD = .43 ตามลำดับ) 2) การดำเนินการมี 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การวิเคราะห์การรับรู้เกี่ยวกับบริการที่ได้รับจากบุคลากรทางการแพทย์ และความต้องการได้รับบริการจากบุคลากรทางการแพทย์ และการดูแลสตรีตั้งครรภ์แรกของกลุ่มงานสูตินรีเวชกรรม ระยะที่ 2 การประยุกต์ใช้รูปแบบโรงเรียนพ่อแม่ฯ และระยะที่ 3 การประเมินผลของการประยุกต์ใช้รูปแบบโรงเรียนพ่อแม่ฯ 3) สตรีตั้งครรภ์แรกมีค่าเฉลี่ยคะแนนความพึงพอใจโดยรวมในระดับมากที่สุด ( = 4.81, SD = .39) 4) หลังเข้าร่วมกิจกรรมของรูปแบบโรงเรียนพ่อแม่ฯ สตรีตั้งครรภ์แรกมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ในการปฏิบัติตน และค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ สูงกว่าก่อนเข้าร่วมเข้าร่วมกิจกรรมของรูปแบบโรงเรียนพ่อแม่ฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 11.600, p < .001 และ t = 6.003, p < .001 ตามลำดับ) และ 5) สตรีตั้งครรภ์แรกมีการคลอดทารกที่มีน้ำหนัก 2,500 กรัมขึ้นไป ร้อยละ 95
จากการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่าผู้บริหารทางการพยาบาลควรนำรูปแบบจากการวิจัยไปใช้พัฒนาระบบการดูแลสตรีตั้งครรภ์แรก โดยการมีส่วนร่วมของบุคลากรทีมสุขภาพ และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการประเมินกระบวนการและผลลัพธ์
เอกสารอ้างอิง
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2559). คู่มือโรงเรียน พ่อ แม่ เพื่อลูกรัก “สุขภาพดี สมองดี อารมณ์ดี มีความสุข” (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์นิวธรรมดาการพิมพ์ (ประเทศไทย). สืบค้น วันที่ 25 สิงหาคม 2560, จาก http://hp.surinpho.go.th/file_news/YYPZCLY.pdf
กรุณา ประมูลสินทรัพย์, กมลทิพย์ ขลังธรรมเนียม, จริยาวัตร คมพยัคฆ์, และเอกชัย โควาวิสารัช. (2556). ผลของโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นครรภ์แรก. วารสารสมาคมพยาบาลฯ สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, 31(4), 54-60.
นนธนวนัณท์ สุนทรา. (2558). พ่อแม่กับการสร้างลูกที่มีคุณภาพ. ใน เอกสารการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง 10 ปี การเรียนรู้ตามหลักการพัฒนาสมอง. หน้า 11. วันที่ 22 สิงหาคม 2558 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์. สืบค้น วันที่ 7 กันยายน 2560, จาก http://www.okmd.or.th
นภาพรรณ วิริยะอุตสาหกุล. (2556). ไอโอดีนกับสตรีตั้งครรภ์. Srinagarind Medical Journal, 28(4), 92-97.
พรนภา เจริญสันต์, ขวัญเรือน ด่วนดี, และรังสินี พูลเพิ่ม. (2555). คุณภาพชีวิตของหญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการฝากครรภ์ ณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า. วารสารพยาบาลทหารบก, 13(3), 47-59. สืบค้น วันที่ 25 สิงหาคม 2560, จาก https://www.tci-thaijo.org/index.php/JRTAN/article/view/3197/4085
มาลี เกื้อนพกุล. (2554). Teenage pregnancy. ใน เอกชัย โควาวิสารัช, ปัทมา พรหมสนธิ, บุญศรี จันทร์รัชชกูล. (บ.ก.). การตั้งครรภ์ในมารดาวัยเสี่ยง. หน้า 35-49. กรุงเทพฯ: ยูเนียน ครีเอชั่น.
วาสนา ถิ่นขนอน, และวิลาวัณย์ ชมนิรัตน์. (2555). การพัฒนาแนวทางการให้บริการหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นโดยครอบครัวมีส่วนร่วมในคลินิกฝากครรภ์ เครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอชัยบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี. วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ, 35(2), 25-33.
ศริณธร มังคะมณี. (2547). ผลของการใช้โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการดูแลตนเองต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นครรภ์แรก (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สืบค้น วันที่ 25 สิงหาคม 2560, จาก https://www.researchgate.net/publication/27802807_phlkhxngkarchiporkaermsngserimkarrabrusmrrthnahaengtnnikardulaetnxengtxphvtikrrmsngserimsukhphaphkhxnghyingtangkhrrphwayrunkhrrphraek
สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข. (2555). แผน 11 ของกระทรวงสาธารณสุข. นนทบุรี: ผู้แต่ง.
สุภาวดี เครือโชติกุล. (2557). กลยุทธ์การพยาบาลในการส่งเสริมการปรับบทบาทการเป็นมารดาของสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่น. วารสารเกื้อการุณย์, 21(1), 7-16.
สุภาวดี เครือโชติกุล, และบุญศรี กิตติโชติพาณิชย์. (2551). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความวิตกกังวลในบทบาทการเป็นมารดาของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่น. วารสารเกื้อการุณย์, 15(1), 107-122.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2017 วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อความ ข้อมูล และรายการอ้างอิงที่ผู้เขียนใช้ในการเขียนบทความเพื่อลงตีพิมพ์ในวารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ถือเป็นความคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียน คณะผู้จัดทำวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วยหรือร่วมรับผิดชอบ
บทความที่ได้รับการลงตีพิมพ์ในวารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี หากหน่วยงานหรือบุคคลใดต้องการนำส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของบทความไปเผยแพร่ต่อเพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตจากบรรณาธิการวารสารก่อน