ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความต่อเนื่องในการรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ในสตรี อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี

ผู้แต่ง

  • สุนิสา จันทร์แสง คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • ภรณี วัฒนสมบูรณ์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • ลักขณา เติมศิริกุลชัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • ณัฐกมล ชาญสาธิตพร คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

คำสำคัญ:

ความต่อเนื่อง, การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาชนิดการศึกษาสหสัมพันธ์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ศึกษากับความต่อเนื่องในการรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในสตรีกลุ่มเป้าหมาย อายุ 30-60 ปี ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 12 แห่ง ในอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างได้รับการคัดเลือกโดยการสุ่ม จำนวน 455 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์และแบบบันทึกข้อมูลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงวันที่ 1 มิถุนายน ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบไคสแควร์

ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกต่อเนื่อง คิดเป็นร้อยละ 33.60 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความต่อเนื่องในการรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติได้แก่ สถานภาพสมรส (c2 = 11.251, p < .01) การคลอดบุตร (c2 = 3.134, p < .05) การรับรู้อุปสรรคในการตรวจคัดกรองอย่างต่อเนื่อง (c2 = 6.649, p < .05) และการได้รับแรงสนับสนุนจากเพื่อนบ้าน/เพื่อนร่วมงาน และจากบุคคลในครอบครัว/สามี (c2 = 13.641, p < .001 and c2 = 6.043, p < .01 ตามลำดับ) ส่วนปัจจัยอื่นๆ พบว่าไม่มีความสัมพันธ์กับความต่อเนื่องในการรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

จากการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่าควรดำเนินการเพื่อส่งเสริมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างต่อเนื่องในสตรีกลุ่มเป้าหมาย โดยเน้นการจัดบริการที่เอื้อในการตรวจคัดกรองที่ตรงกับความต้องการและสื่อสารยังกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งควรใช้เพื่อนบ้าน/เพื่อนร่วมงาน และบุคคลในครอบครัว/สามี ในการสนับสนุนให้สตรีกลุ่มเป้าหมายรับการตรวจคัดกรองอย่างต่อเนื่อง

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงสาธารณสุข. (2554). มะเร็งปากมดลูก. ใน เอกสารประกอบการสัมมนาระดับชาติ เรื่อง ร่วมต่อสู้ “มะเร็งปากมดลูก” ภัยร้ายที่ป้องกันได้. วันที่ 15 กรกฎาคม 2554 ณ โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี.

ธวัชชัย วรพงศธร. (2543). หลักการวิจัยทางสาธารณสุขศาสตร์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ฝ่ายพัฒนางานยุทธศาสตร์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี. (2553). แผนยุทธศาสตร์สาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี ประจำปีงบประมาณ 2553. สุพรรณบุรี: ผู้แต่ง.

ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย. (2550). แนวทางการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก. กรุงเทพฯ: กรุงเทพเวชสาร.

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. (2553). แนวทางดำเนินงานป้องกันและควบคุมมะเร็งปากมดลูกที่เหมาะสมในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: สยามออฟเซท.

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. (2554). การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยวิธีแป๊บสเมียร์ (พิมพ์ครั้งที่3). กรุงเทพฯ: สยามออฟเซท.

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. (2552). แผนการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552. สำนักแผนและประเมินผล กลุ่มภารกิจยุทธศาสตร์และประเมินผล สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (เอกสารอัดสำเนา).

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. (2553). คู่มือการดำเนินงานกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (พิมพ์ครั้งที่ 2). นนทบุรี: เดอะกราฟิโกซิสเต็มส์.

American Cancer Society. (2006). Global cancer facts and figures 2006. Retrieved March 12, 2012, from http://www.cancerres.aacrjournals.org/content/52/24/6735.short

Benedet, J. L., & Murphy, K. J. (1985). Cervical cancer screening. Who needs a Pap test? How often?. Postgraduate Medicine, 78(8), 69-71, 74-76, 78-79.

Fernández-Esquer, M. E., Espinoza, P., Ramirez, A. G., & McAlister, A. L. (2003). Repeated Pap smear screening among Mexican-American women. Health Education Research, 18(4), 477-487.

Green, L. W., Kreuter, M. W. (1991). Health promotion planning: An educational and environmental Approach (2nd ed.). Mountain View, CA: Mayfield.

Juon, H.-S., Seung-Lee, C., & Klassen, A. C. (2003). Predictors of regular Pap smears among Korean-American women. Preventive Medicine, 37(6), 585-592.

Lee, J., Seow, A., Ling, S. L., & Peng, L. H. (2002). Improving adherence to regular Pap smear screening among Asian women: A population-based study in Singapore. Health Education & Behavior, 29(2), 207-218.

Martin-Lopez, R., Hernandez-Barrera, V., de Andres, A. L., Carrasco-Garrido, P., de Miguel, A. G., & Jimenez-Garcia, R. (2012). Trend in cervical cancer screening in Spain (2003-2009) and predictors of adherence. European Journal of Cancer Prevention, 21(1), 82-88. doi: 10.1097/CEJ.0b013e32834a7e46.

Nelson, W., Moser, R. P., Gaffey, A., & Waldron, W. (2009). Adherence to cervical cancer screening guidelines for U.S. women aged 25-64: Data from the 2005 Health Information National Trends Survey (HINTS). Journal of Women’s Health, 18(11), 1759-1768. doi: 10.1089/jwh.2009.1430.

Rosenstock, I. M. (1974). Historical origins of the health belief model. In Becker, M. H. (Ed.). The health belief model and personal health behavior. New Jersey: Charles & Slack.

Taylor, V. M., et al. (2004). Pap testing adherence among Vietnamese American women. Cancer Epidemiology, Biomarkers & Prevention, 13(4), 613-619.

World Health Organization. (2010). Comprehensive cervical cancer control: A guide to essential practice. Retrieved March 12, 2012, from http://www.canadiantaskforce.ca/guidelines/screening-forcervicalcancer

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2018-03-29

รูปแบบการอ้างอิง

จันทร์แสง ส., วัฒนสมบูรณ์ ภ., เติมศิริกุลชัย ล., & ชาญสาธิตพร ณ. (2018). ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความต่อเนื่องในการรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ในสตรี อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี, 27(1), 1–16. สืบค้น จาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pnc/article/view/117129

ฉบับ

ประเภทบทความ

รายงานการวิจัย (Research Report)