การพัฒนาเครือข่ายโรคหลอดเลือดสมองภาคอีสาน

ผู้แต่ง

  • สมศักดิ์ เทียมเก่า ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

บทคัดย่อ

ความชุกของโรคหลอดเลือดสมองในกลุ่มประชากรอายุ 45-80 ปี คือ 1880 ต่อประชากร 1000,000 คน การรักษาสมองขาดเลือดเฉียบพลันด้วยยาละลายลิ่มเลือดภายใน 270 นาที เป็นการรักษามาตรฐาน โดยเริ่มมีการรายงานผลการรักษาครั้งแรกในประเทศไทยในปี 2549 ในผู้ป่วย 34 ราย ต่อมามีการใช้มากขึ้นแต่ก็จำกัดเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ในกรุงเทพและโรงเรียนแพทย์เท่านั้น ในปี 2551 อัตราการได้รับยาละลายลิ่มเลือดต่ำมากๆ คือร้อยละ 0.01 เท่านั้น เพราะประชากรในต่างจังหวัดกว่า 55 ล้านคน ไม่มีโอกาสได้รับยาละลายลิ่มเลือด เนื่องจากข้อจำกัดด้านบุคลากร เครื่องมือแพทย์ และทีมสุขภาพ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประชากร 22 ล้านคน มีประสาทแพทย์เพียง 22 คนใน 9 จังหวัดใหญ่ๆ เท่านั้น การที่จะทำให้มีการเข้าถึงระบบการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดในผู้ป่วยสมองขาดเลือดเฉียบพลันได้นั้น ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี อายุรแพทย์สามารถให้การรักษาแทนประสาทแพทย์ได้ ประชาชนต้องมีความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง ทีมสุขภาพต้องพร้อม เครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ต้องมีการกระจายตัวที่ดี ดังนั้นเครือข่ายการบริการจึงมีความจำเป็นในการพัฒนาระบบบริการ เคือข่ายบริการประกอบด้วย แม่ข่ายและลูกข่าย แม่ข่ายได้แก่ โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ มีความสามารถในการให้การรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดและสามารถให้คำปรึกษาต่อลูกข่าย หน้าที่ของแม่ข่ายคือ 1. ให้การรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด 2. มีระบบบริการผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองครบวงจร 3. จัดทำแนวทางการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง 4. ให้คำปรึกษาโรงพยาบาลลูกข่าย 5. มีระบบติดตามการให้บริการของโรงพยาบาลลูกข่าย และ 6. การประชุมวิชาการระหว่างโรงพยาบาลในเครือข่ายเป็นประจำ การพัฒนาเครือข่ายบริการโรคหลอดเลือดสมองที่มีประสิทธิภาพส่งผลให้การบริการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดทั่วทั้งประเทศสูงขึ้นเป็นร้อยละ 3.6 ในปี 2557 โดยผลการรักษาไม่แตกต่างกันระหว่างประสาทแพทย์และอายุรแพทย์

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2019-02-14

รูปแบบการอ้างอิง

1.
เทียมเก่า ส. การพัฒนาเครือข่ายโรคหลอดเลือดสมองภาคอีสาน. J Thai Stroke Soc [อินเทอร์เน็ต]. 14 กุมภาพันธ์ 2019 [อ้างถึง 31 ธันวาคม 2025];14(1):3-13. available at: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jtss/article/view/172210

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย