ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง โดยใช้เทคโนโลยีผ่านระบบการแพทย์ทางไกลในอำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์
คำสำคัญ:
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ, ระบบการแพทย์ทางไกล, โรคเบาหวานชนิดที่ 2บทคัดย่อ
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบ 2 กลุ่ม วัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง (HbA1C > 11% หรือ FBS > 300 mg/dl) โดยใช้เทคโนโลยีผ่านระบบการแพทย์ทางไกล ได้แก่ Line OA เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่คลินิกโรคเรื้อรังในโรงพยาบาล แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 77 คนและกลุ่มควบคุม 71 คน ดำเนินการวิจัยเป็นเวลา 13 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบทดสอบระดับความรู้การดูแลสุขภาพตนเอง แบบสอบถามพฤติกรรมการควบคุมโรคเบาหวาน และการตรวจค่าระดับน้ำตาลสะสม HbA1C และ FBS วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วยสถิติทดสอบทีแบบอิสระและไม่อิสระ เปรียบเทียบสัดส่วนด้วยสถิติทดสอบ Z กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05
ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งสองกลุ่มมีคะแนนเฉลี่ยความรู้การดูแลสุขภาพตนเองและคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการควบคุมโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มที่ได้รับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพผ่านระบบการแพทย์ทางไกลมีคะแนนเฉลี่ยความรู้และคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมมากกว่ากลุ่มควบคุม 1.51 และ 0.70 คะแนน (p-value 0.012 และ 0.043) และมีสัดส่วนผู้ป่วยที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ตามเกณฑ์ (HbA1C < 7%, FBS < 130 mg/dl) มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยสรุปโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพผ่านระบบการแพทย์ทางไกลสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ดีกว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในคลินิกโรคเรื้อรังในโรงพยาบาล อย่างไรก็ตามควรมีการศึกษาวิจัยระยะยาวเพื่อติดตามพฤติกรรมสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
เอกสารอ้างอิง
วิชัย เอกพลากร, หทัยชนก พรรคเจริญ, วราภรณ์ เสถียรนพเก้า. รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 6 พ.ศ.2562-2563. กรุงเทพมหานคร: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์; 2564.
World Health Organization. Diabetes [Internet]. 2009 [cited 2024 Jul 6]. Available from: https://www.who.int/health-topics/diabetes
Michie S, Stralen MM, West R. The behavior change wheel: a new method for characterizing and designing behavior change interventions. Implementation Sci 2011; 6: 42.
อรุณ จิรวัฒน์กุล. ชีวสถิติสำหรับงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 3. ขอนแก่น: สำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2551.
สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน 2566. กรุงเทพฯ: ศรีเมืองการพิมพ์; 2566.
Sriklo M, Tamdee D, Aungwattana S, Kaewthummanukul T. Effects of enhance health literacy through transformative learning program on self-management and hemoglobin A1C level among adults with uncontrolled type 2 diabetes: a randomized controlled trial. PRIJNR 2023; 27(2): 317-33.
AI Ibrahem A, AI Omran AM, Alaithan DT, Aldandan KA, Al Shaghab MA, Alkhudhayr AM , et al. Effectiveness of telemedicine in controlling hyperglycemia among diabetic patients on insulin therapy in primary care: a systematic review and meta-analysis. Cureus 2023; 15(12): e50045.
De Groot J, Wu D, Flynn D, Robertson D, Grant G, Sun J. Efficacy of telemedicine on glycemic control in patients with type 2 diabetes: a meta-analysis. World J Diabetes 2021; 12(2):170-97.
วีรชัย ศรีวณิชชากร, เพชร รอดอารีย์. การป้องกันโรคเบาหวานในสภาพการณ์ของประเทศไทย. วารสารวิชาการกระทรวงสาธารณสุข 2565; 31(2): 363-75.
Pleus S, Freckmann G, Schauer S, Heinemann L, Ziegler R, Ji L, et al. Self-monitoring of blood glucose as an integral part in the management of people with type 2 diabetes mellitus. Diabetes Ther 2022; 13(5): 829-46.
Kesavadev J, Mohan V. Reducing the cost of diabetes care with telemedicine, smartphone, and home monitoring. J Indian Inst Sci 2023: 1-12.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่7 จังหวัดขอนแก่น

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ความรับผิดชอบ
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 ขอนแก่น ถือเป็นผลงานทางวิชาการหรือวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของวารสารสำนักงาน ป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น หรือ ของกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง
ลิขสิทธ์บทความ
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์จะถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักงานป้องกันตวบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
