ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการป้องกันวัณโรคของผู้ต้องขังในเรือนจำ จังหวัดบึงกาฬ ปี พ.ศ. 2560
คำสำคัญ:
ผู้ต้องขัง, วัณโรค, บึงกาฬบทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการป้องกันวัณโรคของผู้ต้องขังในเรือนจำ จังหวัดบึงกาฬ ประชากรศึกษาคือผู้ต้องขังในเรือนจำนวน 1,284 คน สุ่มขนาดตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนประชากรได้จำนวนตัวอย่าง 625 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม โดยการสุ่มอย่างง่าย ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 31พฤษภาคม 2560 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์พหุถดถอยโลจิสติก
ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการป้องกันวัณโรคของผู้ต้องขังในเรือนจำ จังหวัดบึงกาฬ พบว่า กลุ่มผู้ต้องขังที่มีการรับรู้มาก จะมีการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อวัณโรคดี เมื่อเทียบกับผู้ต้องขังที่มีการรับรู้น้อยถึงปานกลางเป็น 1.67 เท่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ค่า p-value<0.001 (Adjusted OR=1.67;95%CI of Adjusted OR:1.20to2.32;p-value<0.001)ผู้ต้องขังที่มีปัจจัยเอื้อปานกลาง จะมีการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อวัณโรคได้ดี เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ต้องขังที่มีปัจจัยเอื้อน้อย เป็น 1.65 เท่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ค่า p-value<0.001 (Adjusted OR=1.65;95%CI of Adjusted OR:1.06 to 2.59;p-value<0.001) และผู้ต้องขังที่มีปัจจัยเอื้อมาก จะมีการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อวัณโรคได้ดี เมื่อเทียบกับผู้ต้องขังที่มีปัจจัยเอื้อน้อย เป็น 3.25 เท่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ค่า p-value<0.001 (Adjusted OR=3.25;95%CI of djusted OR: 2.04to5.17;p-value<0.001)
ข้อเสนอแนะ ควรให้สุขศึกษาส่วนบุคคลในผู้ต้องขังที่มีปัจจัยเสี่ยงคือ การสูบบุหรี่ ผู้ที่เคยเสพสารเสพติดแต่เลิกแล้ว ผู้ต้องขังอายุที่ถูกคุมขังมากกว่า 5 ปีขึ้นไป ซึ่งพบว่า ผู้ต้องขังที่มีปัจจัยเหล่านี้ เสี่ยงต่อการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อวัณโรคไม่ดี เท่ากับผู้ต้องขังที่ถูกคุมขังระยะเวลาน้อย และควรสนับสนุนให้ใช้วัสดุอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อวัณโรค และการให้ผู้ต้องขังเข้าถึงสถานบริการสาธารณสุขอย่างรวดเร็วและมีช่องทางเฉพาะ
References
2. World Health Organization[WHO]. Global Tuberculosis Control 2009[online] 2009.[cited2016Jun16].Availableforme:www.who.int/tb/
publications/global_report/2009/pdf/chapter1.pdf
3. กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการควบคุมวัณโรคแห่งชาติ.[ออนไลน์]. 2548. [เข้าถึงเมื่อ 5 สิงหาคม 2559]. เข้าถึงได้จาก http://www.
rpphosp.go.th/PDF/Km%20dpm/TB/Tb%20thai.pdf
4. กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก (Active case fnding) ในการป้องกันควบคุมวัณโรค เอดส์ ซิฟิลิส โรคเรื้อนมาลาเรียและโรคพยาธิใบไม้ตับ. กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย; 2558.
5. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบึงกาฬ. สรุปรายงานประจำปี 2558 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบึงกาฬ[เอกสารอัดสำเนา]. บึงกาฬ: สำนักงานสาธารณสุข
จังหวัดบึงกาฬ; 2559.
6. ส�านักวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.กรมควบคุมโรคเผยผู้ป่วยวัณโรคระยะแพร่เชื้อที่ยังไม่ได้รับการรักษา สามารถแพร่เชื้อ. [ออนไลน์].2551 [เข้าถึงเมื่อ 5 สิงหาคม 2559]. เข้าถึงได้จากhttp://thaigcd.ddc.moph.go.th/2016/knowledges/view/23
7. อุทุมพร ภักดีศิริวงษ์, อนงค์ หาญสกุล. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยวัณโรคปอด โดยการรักษาวัณโรคด้วยระบบยาระยะสั้นแบบมีพี่เลี้ยงในจังหวัดชัยภูมิ. วารสารคณะพลศึกษา 2555; 15 (ฉบับพิเศษ): 201-13.
8. ยุภาพร แก้วจันดา. พฤติกรรมที่มีผลต่อการติดเชื้อวัณโรคของกลุ่มผู้สัมผัสร่วมบ้านผู้ป่วยวัณโรคที่มารับบริการในโรงพยาบาลห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์.กาฬสินธุ์: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์;2559.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
ความรับผิดชอบ
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 ขอนแก่น ถือเป็นผลงานทางวิชาการหรือวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของวารสารสำนักงาน ป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น หรือ ของกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง
ลิขสิทธ์บทความ
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์จะถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักงานป้องกันตวบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น