ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรม การดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
คำสำคัญ:
ผู้ป่วยเบาหวาน, การรับรู้ด้านสุขภาพ, พฤติกรรมการดูแลสุขภาพบทคัดย่อ
การศึกษาเชิงพรรณนาครั้งนี้ (Descriptive Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการคลินิกพิเศษผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่ง จำนวน 80 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามการรับรู้ด้านสุขภาพและ แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสุขภาพค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1, 0.93และ 0.97และค่าความเที่ยงด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ 0.80 และ 0.89 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 63.8 อายุระหว่าง 61-70 ปี ร้อยละ41.2 มีสถานภาพคู่/สมรส ร้อยละ 93.8 ระดับการศึกษาสูงสุดประถมศึกษา ร้อยละ 71.2 อาชีพเกษตรกร ร้อยละ 37.5 และ มีค่าระดับน้ำตาลในเลือด (DTX) ≥126 mg% ร้อยละ 70กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้ด้านสุขภาพส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง (mean=3.06, S.D=0.32) และพฤติกรรมสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง (mean=2.19, S.D=0.36)และพบว่ารับรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในระดับต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.338, p<0.01) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า การรับรู้ต่ออุปสรรคมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.543, p<0.01) แต่ การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเป็นโรค การรับรู้ความรุนแรงของโรค และ การรับรู้ประโยชน์ของการรักษาและป้องกันไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพข้อเสนอแนะ ในการพัฒนาโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานอย่างเหมาะสมพยาบาลควรตระหนักถึงการส่งเริมการรับรู้สุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน
เอกสารอ้างอิง
กาญจนา บริสุทธิ์. (2553). ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานของผู้ป่วยเบาหวานศูนย์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาเทศบาลเมืองพระแท่นอำเภอท่ามะกาจังหวัดกาญจนบุรี. (วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสุขศึกษา). กรุงเทพ. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
กมลพรรณ จักรแก้ว. (2561). การดูแลตนเองของผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน ตำบลลวงเหนือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่. (วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์). เชียงใหม่. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่.
ชัชรินทร์กูเมาะ และ รุ่งนภาจันทรา. (2558). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเตราะหัก จังหวัดปัตตานี. วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้, 2(2), 85-99.
จักราวุธ เกิดช้ำ, อภิวันท์ นาวา , มณีรัตน์ เป็งน้อย และพงศ์พิษณุ บุญดา. (2560). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลป่างิ้ว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย.การประชุมวิชาการด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ครั้งที่ 1. สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ. มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง.
จุรีพร คงประเสริฐ, ธิดารัตน์อภิญญา (2558). คู่มือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในคลินิก NCD คุณภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด
ดวงหทัย แสงสว่าง, อโนทัย ผลิตนนท์เกียรติ และนิลาวรรณ งามขำ. (2561). ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการลดระดับน้ำตาลในเลือดของกลุ่มตัวอย่างโรคโรคเบาหวาน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางปูใหม่ จังหวัดสมุทรปราการ. วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์, 8(1), 103-117.
บุญใจ ศรีสถิตย์นรากูร. (2553). ระเบียบวิธีการวิจัยทางพยาบาลศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: ยูแอนด์ไออินเตอร์มีเดียจำกัด
เลิศมณฑน์ฉัตร อัครวาทิน, สุรางค์ เมรานนท์, และสุทิติ ขัตติยะ. (2554). พฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวาน: กรณีศึกษาผู้ป่วย ตำบลม่วงงาม อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี. วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์, 5(1), 103-12.
รื่นจิต เพชรชิต. (2015). พฤติกรรมการดูแลตนเองและการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรงพยาบาล เคียนซา จังหวัดสุราษฎร์ธานี. วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้, 2(2), 15-28.
โรงพยาบาลศูนย์สุรินทร์. (2557). Service plan to primary care.โรงพยาบาลสุรินทร์. กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลสุรินทร์.
โรงพยาบาลศูนย์สุรินทร์. (2563). สถิติผู้ป่วยเบาหวานโรงพยาบาลสุรินทร์. กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลสุรินทร์.
สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค. (2558).ข้อมูลโรคไม่ติดต่อ.กองโรคไม่ติดต่อกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค. (2563).ข้อมูลโรคไม่ติดต่อ.กองโรคไม่ติดต่อกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
อัจฉรา จินดาวัฒนวงศ์, นพวรรณ เปียซื่อ และ พัชรินทร์ นินทจันทร์. (2555). ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย. วารสารรามาธิบดี, 18(1), 58-69.
อมรรัตน์ ภิรมย์ชม และ อนงค์ หาญสกุล. (2555). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ. วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 ขอนแก่น, 19(1), 1-10.
อ้อมใจ แต้เจริญวิริยะกุล, กิตติยา ศิลาวงศ์สุวรรณกูฎ. (2559).การรับรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์.วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ, 9(2), 331-338.
Janz, N. K., & Becker, M. H. (1984). The health belief model: A decade later. Health education quarterly, 11(1), 1-47.
International diabetes federation. Diabetes Atlas 2015. Retrieved July 6, 2019, from: https://www.idf.org/aboutdiabetes/what-is-diabetes.html
Pender, N. J. (2006).Health Promotion in Nursing Practice. 5th ed. Connecticut: Appleton & Lange.
Pender, N. J., Murdaugh, C.L., & Parsons, M.A. (2011). Health promotion in nursing practice. 6th ed. Boston: Pearson.
Rosenstock, I. M. (1974). Historical origins of Health Belief Model. Health Education Monographs, 2 (4): 328-338.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสารการพยายาล การสาธารณสุข และการศึกษา

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.