เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน เพื่อส่งบทความ

ในขั้นตอนการส่งบทความ ผู้แต่งต้องตรวจสอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดรายการตรวจสอบการส่งทุกข้อ ดังต่อไปนี้ และบทความอาจถูกส่งคืนให้กับผู้แต่งกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งหมด

  • ผลงานที่ส่งไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ก่อนหน้านี้
  • ไฟล์ที่ส่งอยู่ในรูปแบบไฟล์เอกสาร Microsoft Word หรือ RTF
  • ข้อแนะนำในการส่งบทความเพื่อตีพิมพ์
  1. บทความที่จะลงตีพิมพ์ในวิทยาสารทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นจะต้องไม่เคยได้รับการตีพิมพ์หรือเผยแพร่ในวารสารอื่นมาก่อน ไม่ว่าบทความนั้นอาจจะเตรียมเป็นภาษาเดียวกัน หรือต่างภาษาก็ตาม ยกเว้นบทความดังกล่าวอยู่ในหลักเกณฑ์ว่าด้วยการตีพิมพ์ซ้ำ (Multiple Publication)
  2. บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ทีได้รับการลงตีพิมพ์ในวิทยาสารทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นถือเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จากคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นก่อนเท่านั้น
  • ประเภทของบทความ : แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
  1. บทวิทยาการ (Original Article) เป็นบทความที่ได้จากศึกษา ค้นคว้า วิจัย รายงานผู้ป่วย หรือรายงานทางวิชาการที่ยังไม่เคยตีพิมพ์มาก่อน มีลักษณะดังนี้
    • บทความวิจัย (Research) เป็นบทความ ทั้งวิจัยพื้นฐาน และวิจัยประยุกต์ในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ บทความควรแสดงให้เด่นชัดถึงปัญหาวิจัย วัตถุประสงค์ วิธีการและการควบคุม ผลการวิจัย บทสรุป และนัยสำคัญของการวิจัย
    • บทวิทยาการคลินิก (Clinical Science) เป็นบทความที่เกี่ยงข้องกับการรักษาในแง่ของเทคนิควิธีการ ข้อบ่ชี้และผลข้างเคียงที่มีความแตกต่างจากรายงานเดิม หรือมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ให้เกิดความลุ่มลึก แตกฉาน สมควรเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์ทางวิชาการ หรือการรายงานผู้ป่วย และการวินิจฉัยโรคที่พบใหม่หรือมีอุบัติการณ์ต่ำ
    • บทความทางการศึกษา (Education and Academic) เป็นบทความที่เกี่ยวกับการศึกษา การเรียน การสอน
    • นโยบายทางทันตสาธารณสุข (Oral Health Policy) เป็นบทความที่เกี่ยวกับการพัฒนาทันตสาธารณสุข
    • บทวิทยาการอื่นๆ (Other Original Articles) เป็นบทความที่เกี่ยวข้องกับทันตแพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ หรือ วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์
  2. บทความปริทัศน์ (Review Article) เป็นบทความที่รวบรวมความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งได้ตีพิมพ์ในวารสารหรือหนังสือ นำมาเรียบเรียง วิเคราะห์ วิจารณ์ หรือเปรียบเทียบกันเพื่อให้เกิดความกระจ่างในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น
  3. ปกิณกะ (Miscellany) เป็นบทความทางวิชาการที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
    • หัวข้อที่น่าสนใจ (Topic of Interest) เป็นบทความที่เกี่ยวข้องกับวิชาการที่เป็นประโยชน์
    • จดหมายถึงบรรณาธิการ (Letter to Editor) เป็นจดหมายเพื่อให้ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ โดยอาจจะมีเอกสารอ้างอิงถึงบ้างเพื่อสนับสนุนความในจดหมาย และบรรณาธิการ ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาความเหมาะสมของจดหมายในการตีพิมพ์
  • การเตรียมตันฉบับบทความ
  1. ความยาวของบทความ (Length of the Manuscript) ไม่ควรเกิน 10-12 หน้ากระดาษ โดยไม่รวมเอกสารอ้างอิง รูปภาพ และตารางในกรณีที่บทความยาว ควรพิจารณาแยกบทความออกเป็นตอนๆ โดยแต่ละตอนมีความสมบูรณ์ของเนื้อหา
  2. กระดาษของบทความต้นฉบับ (Type of Paper for the Manuscript) ใช้กระดาษสีขาวอย่างดี ขนาด A4 พิมพ์ด้วยตัวพิมพ์ (Angsana new 16 point) ห่างจากขอบกระดาษ (margin) อย่างน้อย 1 นิ้ว โดยรอบ โดยพิมพ์หน้าเดียว
  3. การพิมพ์บทความต้นฉบับ (Typing the Manuscript) พิมพ์โดยมีระยะระหว่างแถวเป็นแบบบรรทัดครึ่ง (5 line spacecing) โดยตลอด ตั้งแต่ ชื่อเรื่อง บทคัดย่อ เนื้อหา คำกล่าวขอบคุณ เอกสารอ้างอิง ตาราง และรายละเอียดของรูปภาพ
  4. ผู้นิพนธ์และผู้นิพนธ์ร่วม (Authorship and Member) ผู้นิพนธ์ในแต่ละบทความไม่ควรเกิน 5 ท่านแรก และควรมีส่วนร่วมในบทความนั้นจริง โดยเฉพาะขั้นตอนการกำหนดแนวคิด การออกแบบ การวิเคราะห์ผล ทบทวน บทความ การเขียน และการตรวจสอบบทความก่อนส่งตีพิมพ์ ซึ่งบุคคลที่นอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น เช่น ผู้ให้ทุน สนับสนุน ผู้รวบรวมข้อมูล จะมิได้จัดเป็นผู้นิพนธ์และจะต้องมีผู้นิพนธ์ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบบทความนั้นๆ อย่างน้อย 1 ท่าน
  5. จำนวนชุดของบทความต้นฉบับ (Number of Copies) ส่งบทความจำนวน 3 ชุด (ต้นฉบับ 1 ชุด และสำเนา 2 ชุด) รวมทั้งรูปภาพ พร้อมแผ่นบันทึกข้อมูล (CD) ในรูปแบบไฟล์ Microsoft word
  6. หนังสือนำส่งบทความ (Transmittal letter) ส่งบทความที่พร้อมมายังบรรณาธิการโดยเรียงลำดับดังนี้
  • ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์และโทรสาร (ถ้ามี) ของผู้นิพนธ์ที่รับผิดชอบ (Correspondence Author)
  • ควรให้รายละเอียดเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์แก่บรรณาธิการ เช่น ประเภทบทความ แนวคิดโดยสรุปของบทความ
  • ควรชี้แจงรายละเอียดในกรณีที่บางส่วนของบทความ หรือ ทั้งหมดเคยได้รับการตีพิมพ์มาก่อนในวารสารอื่น
  • ผู้นิพนธ์ต้องลงชื่อใน “เอกสารมอบลิขสิทธิ์ และการเปิดเผยข้อมูล (Copyright Assignment and Disclosure)”
  • ผู้นิพนธ์อาจจะแนะนำผู้กลั่นกรองบทความอื่นๆ (External Review) ได้
  • รูปแบบการเขียนบทความ

บทความวิทยาการ และบทความปริทัศน์ควรประกอบด้วยหัวข้อต่างๆ ดังต่อไปนี้

  1. ชื่อเรื่อง (Title page) ให้เป็นแผนที่ “1” โดยพิมพ์สิ่งต่อไปนี้
    • ชื่อเรื่อง (Title) ควรกระชับและมีความหมายครอบคลุมเนื้อหา ไม่ควรใช้คำย่อ หรือชื่อทางการค้า
    • ผู้นิพนธ์ (Author) เขียนชื่อ นามสกุล ของผู้นิพนธ์พร้อมทั้งวุฒิการศึกษา และตำแหน่งทางวิชาการ เรียงลำดับตามที่ต้องการ
    • สถานที่ทำงานและที่ตั้ง (Institution and City) ระบุสถานที่ทำงานและที่ตั้ง (อำเภอ จังหวัด) เช่น คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น
    • เชิงอรรถ (Footnote) ควรประกอบด้วย
    • แหล่งเงินทุนสนับสนุน (Source of support) เช่น ทุนสภาวิจัยแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2536
    • องค์กรที่บทความเคยนำเสนอ โดยระบุชื่อองค์กร หรือการประชุม พร้อมสถานที่ที่นำเสนอ
    • ตำแหน่งหน้าที่ของผู้นิพนธ์ (Author Position) ให้ระบุตำแหน่งหน้าที่ของผู้นิพนธ์ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันที่บทความนั้นมีส่วนเกี่ยวข้อง
    • ผู้นิพนธ์ที่รับผิดชอบบทความ (Correspondence Author) ระบุชื่อ นามสกุล ที่อยู่ของผู้รับผิดชอบ
    • การติดต่อขอสำเนาพิมพ์ (Reprint Request) ระบุ ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ของผู้นิพนธ์ที่อนุญาตให้สำเนาพิมพ์บทความ
    • ชื่อย่อของบทความ (Abbreviated Title) ให้ระบุชื่อย่อสั้นๆ ของบทความเพื่อสะดวกในการจัดกลุ่มบทความ (Running Head)
  2. บทคัดย่อ (Abstract)
    • จะเป็นแผ่นที่ “2” ซึ่งสรุปสาระสำคัญ วัตถุประสงค์ วิธีการ ผล สรุปผล โดยจะต้องไม่อ้างถึงเอกสาร รูปภาพ ตารางใดๆ และสำหรับฟันให้เขียนชื่อแทนสัญลักษณ์
    • บทคัดย่อภาษาไทย จะไม่ใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษ แต่แปลเป็นภาษาไทย หรือให้เขียนทับศัพท์ที่เป็นภาษาไทย และไม่ต้องวงเล็บคำเดิม
    • บทความวิจัย จะต้องเตรียมบทคัดย่อให้เป็นรูปแบบมาตรฐาน (Structured Abstract Format) ซึ่งไม่ควรยาวเกินกว่า 350 คำ
    • บทคัดย่อของบทความประเภทอื่นๆ จะไม่มีรูปแบบมาตรฐาน (Unstructured Abstract) ควรเตรียมให้มีความยาวพอเหมาะ แต่ไม่ควรเกิน 250 คำ
    • อนึ่งเมื่อบทความนั้นเป็นภาษาไทย จะต้องเตรียมหน้าชื่อเรื่อง และบทคัดย่อที่เป็นภาษาอังกฤษต่อท้ายสุดของบทความด้วยเสมอโดยมีเนื้อหาเดียวกับข้อ 2 และ ข้อ 3 และในกรณีที่บทความเป็นภาษาอังกฤษ จะต้องเตรียมหน้าชื่อเรื่องและบทคัดย่อเป็นภาษาไทยต่อท้ายสุดของบทความเช่นเดียวกัน
    • คำไขรหัส (Key Words) ใต้บทคัดย่อจะต้องมีคำไขรหัส ซึ่งควรใช้คำที่ปรากฏใน “Medical Subject Heading (MeSH)” ซึ่งอยู่ใน “Index Medicus”
  3. เนื้อเรื่อง (Text) ใช้ได้ทั้งภาษาไทยล้วน หรือภาษาอังกฤษล้วน ถ้าเขียนเนื้อเรื่องเป็นภาษาไทย ตำแหน่งคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ปนกับภาษาไทยนั้น ให้แปลเป็นภาษาไทย โดยเขียนคำเดิมกำกับไว้ เฉพาะครั้งแรกที่กล่าวถึงในเนื้อเรื่อง หากคำใดที่ราชบัณฑิตยสถานรับรองแล้ว ให้ใช้คำนั้น ถ้าไม่มีการแปลให้ใช้วิธีเขียนทับศัพท์ และวงเล็บคำเดิมกำกับไว้เฉพาะครั้งแรกที่กล่าวถึง โดยเนื้อเรื่องควรประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้ คือ
    • บทนำ (Introduction) ควรเขียนถึงลักษณะของปัญหา วิจัย สถานภาพของความรู้ วัตถุประสงค์ ขอบเขต การปริทัศน์เอกสารที่เกี่ยวข้อง
    • วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ (Materials and Methods)กล่าวถึงรายละเอียดของวัสดุที่นำมาทดลอง เช่น ชื่อเคมีภัณฑ์ ชนิดของสัตว์ทดลอง รวมทั้งแหล่งที่มา เพศ อายุ จำนวน ลักษณะเฉพาะของอุปกรณ์
    • ผล (Results)ควรจำแนกเป็นหมวดหมู่ และสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ อาจะเสนอในรูปแบบของตาราง กราฟ รูปภาพ เป็นต้น
    • บทวิจารณ์ (Discussion)สามารถวิจารณ์ได้ตั้งแต่วัตถุประสงค์ วัสดุอุปกรณ์ และวิธีการ ผลที่ได้รับจากการทดลอง หรือเปรียบเทียบกับผลการศึกษาของผู้อื่น รวมถึงปัญหาและอุปสรรคต่างๆ และชี้ให้เห็นแนวทางและนำผลไปใช้ให้เกิดประโยชน์ด้วย
    • บทสรุป (Conclusion)กล่าวถึงผลโดยย่อและข้อสรุปที่ได้จากการวิเคราะห์วิจารณ์
    • กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgement)กล่าวขอบคุณองค์กร หรือบุคคลที่ผู้เขียนได้รับการช่วยเหลือ
    • เอกสารอ้างอิง (References)เป็นการรวบรวมเอกสารต่างๆ ที่อ้างอิงในเนื้อเรื่อง หากตอนใดที่ผู้เขียนมิได้อ่านเองโดยตรงแต่นำข้อความใช้อ้างอิงด้วยต้องแจ้งให้ชัดเจนว่าผู้ใดอ้างไว้ รวมทั้งแหล่งที่มาของเอกสาร เช่น ( Smith3 เป็นผู้อ้าง) หรือ (Cited by Smith3 ในบทความภาษาอังกฤษ)

อนึ่ง เนื้อเรื่องในบทความประเภทอื่นๆ มิได้มีรูปแบบที่แน่นอน ผู้นิพนธ์ควรเรียบเรียงตามความเหมาะสมกับสากลนิยม

  1. วิธีการเขียนเอกสารอ้างอิง (References)

อ้างอิงเอกสารโดยใช้เลขอารบิกทำเป็น Superscript เรียงตามลำดับที่อ้างถึง โดยใช้อักษรย่อของวารสารตาม “Index Medicus” ถ้าใช้หนังสือจะต้องใช้ฉบับล่าสุด และบอกหน้าที่อ้างอิงเสมอ

การเขียนเอกสารอ้างอิง ยึดหลักการเขียนของ International Committee of Medical Journal Editors. Uniform Requirements for Manuscripts Submitted to Biomedical Journals, (https://www.nim.nih.gov/bsd/uniform_requirements.html 2006)

  • กรณีที่เอกสารอ้างอิงเป็นภาษาไทยต้องเปลี่ยนให้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด รวมทั้งชื่อสกุลของผู้นิพนธ์ เช่น
    • ฐิติพร บุนนาค, เข็มพร กิจสหวงศ์. การรักษาทางทันตกรรมในผู้ป่วยกรามอาการ ทีเออาร์ร่วมกับปากแหว่งเพดานโหว่: รายงานผู้ป่วย ว.ทันต. ขอนแก่น 2550; 10(1): 21-32.
    • Boonnak T, Kitsahawong K. Dental treatment in thrombocytopenia absent radius syndrome with cleft lip and palate: A case report. Khon Kaen Dental Journal 2007; 10(10): 21-32.
    • เขียนชื่อสกุลของผู้แต่งก่อนตามด้วยอักษรชื่อตัวและชื่อกลางโดยไม่ต้องมีเครื่องหมายคั่น หากผู้แต่งไม่เกิน 6 คน ให้ใส่ชื่อทุกคน โดยใช้เครื่องหมายจุลภาค ( , ) คั่นแต่ละชื่อหลังชื่อสุดท้ายใช้เครื่องหมายมหัพภาค ( . ) หากผู้แต่งมีมากกว่า 6 คน ใส่ 6 ชื่อแรกตามด้วยคำว่า et al แล้วตามด้วยเครื่องหมายมหัพภาค( . ) เช่น
    • Goate AM, Haynes AR, Owen MJ, Farrall M, James LA, Lai LY, et al. Predisposing locus for Aizheimer’s disease on chromosome 21. Lancet. 1989; 1: 352-5.
  • ผู้แต่งเป็นกลุ่ม คณะหรือสถาบันใช้ชื่อกลุ่ม คณะหรือสถาบันเป็นผู้แต่ง เช่น
    • The Royal Marsden Hospital Bone-Marrow Transplantation Team. Failure of syngeneic bone-marrow graft without preconditioning in post-hepatitis marrow aplasia. Lancet. 1977; 2: 274-4.
  • ถ้าไม่ปรากฏชื่อผู้แต่งให้เขียนชื่อบทความขึ้นเลย เช่น
    • Coffee drinking and cancer of the pancreas (editorial). BMJ. 1981; 283: 628.
  • การเขียนเอกสารอ้างอิงจากวารสาร
    • ชื่อผู้แต่ง (Author). ชื่อบทความ (Title of the article). ชื่อวารสาร (Title of the Journal) ปีพิมพ์ (Year);ฉบับที่(Volume):หน้าแรก-หน้าสุดท้าย (Page).
    • You CH, Lee KY, Chey Ry, Menguy, Menguy R. Electrogastro graphic study of patient with unexpected nausea, bloating and vomiting. Gastroenterology 1980;79(2):311-4.
  • การเขียนเอกสารอ้างอิงจากหนังสือ
    • ชื่อผู้แต่ง (Author). ชื่อหนังสือ (Title of the book). ครั้งที่พิมพ์ (Edition). สถานที่พิมพ์ (Place of Publication): สํานักพิมพ์ (Publisher);ปี (Year).หน้า () เช่น
    • Colson JH, Armour WJ. Sport injuries and their treatment. 2nd London:S.paul;1986.111-35.
  • การเขียนเอกสารอ้างอิงจากบทความในหนังสือ
    • ชื่อผู้แต่ง (Author). ชื่อบท (Title of a chapter). In: ชื่อบรรณาธิการ (editor(s)). ชื่อหนังสือ (Title of the book). ครั้งที่พิมพ์ (Edition). สถานที่พิมพ์ (Place of publication): สำนักพิมพ์ (Publisher);ปีที่พิมพ์ (Year).หน้า(หน้าแรก-หน้าสุดท้าย).
    • Weinstein L, Swartz MN. Pathologic properties of invading microorganisms. In: Sodeman WA Jr, Sodeman WA, editors. Pathologic physiology mechanisms of disease. 3rd Philadelphia: Saunders;1974.457-72.
  • การเขียนเอกสารอ้างอิงจากรายงานการประชุม
    • Vivian VL, editor. Child abuse and neglect: a medical community response. Proceedings of the First AMA National Conference on Child Abuse and Neglect: 1984 Mar 30-31, Chicago:American Medical Association;1985.
  • การเขียนเอกสารอ้างอิงจากบทความที่เสนอในการประชุม
    • Harley NH. Comparing radon daughter dosimetric and risk model. In: Gammage RB, Kaye SV, editors. Indoor air and human health. Proceedings of the Seventh Life Sciences. Symposium: 1984 Oct 29-31;Knoxville (TN),Chelsea (MI):Lewis;1985.69-78.
  • การเขียนเอกสารอ้างอิงจากวิทยานิพนธ์
    • Youssef NM. School adjustment of children with congenital heart disease [dissertation]. Pittsburgh (PA): Univ. of Pittsburgh;1988.
  • การเขียนเอกสารอ้างอิงบทความในหนังสือพิมพ์
    • Rensberger B, Specter B. CFCs may be destroyed by natural process. The Washington Post 1989 Aug 7; Sect. A:2(col.5).
  • การเขียนเอกสารอ้างอิงอุปกรณ์โสตทัศนวัสดุ
    • AIDS epidemic: the physician’s role [video-recording]. Cleveland (OH): Academy of Medicine of Cleveland;1987.
  • การเขียนเอกสารอ้างอิงจากสิ่งพิมพ์ที่อยู่ในระหว่างการพิมพ์ (In press)
    • Lillywhite HB, Donald JA. Pulmonary blood flow regulation in an aquatic snake. Science. In press.

เอกสารอ้างอิงที่อยู่ระหว่างเตรียมส่งพิมพ์จะไม่จัดว่าเป็น เอกสารอ้างอิง แต่จะปรากฏในลักษณะของ unpublished” หรือ “personal communication” โดยจะปรากฏได้ใน footnote เท่านั้น เช่น

  • Jones AG and Smith J, unpublished
  • Smith J, 1960, personal communication
  • การเขียนเอกสารอ้างอิง สื่อ หรือวัสดุอิเล็กทรอนิกส์
    • CD-ROM

Anderson SC, Poulsen KB. Anderson’s electronic atlas of hematology [CD-ROM]. Philadelphia: Lippincott Williams &Wilkins;2002.

  • วารสารบนอินเตอร์เน็ต

Abood S. Quality improvement initiative in nursing homes: the ANA acts in an advisory role. Am J Nurs [serial on the Internet]. 2002 Jun [cited 2002 Aug 12];102(6): [about 3 p.]. Available from: https://www.nursingworld.org /AJN/2002/june/Wawatch.htm.

  • Monograph บนอินเตอร์เน็ต

Foley KM, Gelband H, editors. Improving palliative care for cancer [monograph on the Internet] Washington: National Academy Press; 2001 [cited 2002 Jul 9]. Available from: https://www.nap.edu/books/0309074029/html/.

  • Homepage/Web site

Cancer-Pain.org [homepage on the Internet]. New York: Association of Cancer Online Resources, Inc.; c2001-1[updated 2002 May 16; cited 2002 Jul 9]. Available from: https://www.cancer-pain.org/.

  • ส่วนหนึ่งของ Homepage/Web site

American Medical Association [homepage on the Internet]. Chicago: The Association; c1995-2002 [updated 2001 Aug 23; cited 2002 Aug 12]. AMA Office of Group Practice Liaison; [about 2 screens]. Available from: https://www.ama-assn.org/ama/pub/category/1736.html.

  • สิ่งอ้างอิงที่เป็น Computer file

Hemodynamics III: the ups and downs of Hemodynamics [computer program]. Version 2.2 Orlando (FL): Computerized Educational Systems; 1993.

  1. ตาราง (Table) ทำตารางแยกจากเนื้อเรื่องโดยพิมพ์หน้าละ 1 ตารางเรียงลำดับให้สอดคล้องกับที่อ้างถึง เพื่อใช้ประกอบการบรรยายเนื้อเรื่อง (supplement the text) ทั้งนี้จะต้องระบุแหล่งที่มาของตารางที่เคยตีพิมพ์และให้บรรยายตารางเป็นภาษาไทย คู่กับภาษาอังกฤษ ยกเว้นบทความที่เป็นภาษาอังกฤษให้ใช้ คำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ ข้อความในตารางให้ใช้ภาษา อังกฤษ ส่วนตัวเลขให้ใช้เลขอารบิก พร้อมทั้งให้ใช้ดินสอเขียน ชื่อเรื่อง ชื่อผู้นิพนธ์ด้านหลังของตาราง
  2. ภาพ (Illustration) ภาพทุกภาพต้องมีการอ้างถึงในบทความ โดยตัวอักษรในภาพให้ใช้ภาษาอังกฤษ ส่วนตัวเลขให้ใช้เลขอารบิก ภาพลายเส้นแผนภูมิ หรือกราฟ (graph) ควรมีความคมชัด เมื่อขยายแล้วไม่แตกคำบรรยายภาพระบุชื่อสีและ/หรือวิธีย้อม กำลังขยายไว้ในตอนท้ายของคำบรรยาย ภาพที่มีความละเอียดของสีมาก เช่น ภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์ ให้ส่งภาพต้นฉบับมาด้วย รายละเอียดของภาพแต่ละชนิดมีดังนี้
    • ภาพที่อัดบนกระดาษมัน (glossy print) ขนาดของภาพ ไม่ต่ำกว่า 4x6 นิ้ว(100x152 มม.) แต่ไม่เกิน 8x10 นิ้ว(203x254 มม.)
      • ภาพถ่ายรังสี (radiograph) ให้อัดรูปจากฟิล์มของภาพถ่ายที่ถ่ายจากภาพถ่ายรังสี ไม่ควรอัดจากภาพรังสีโดยตรง
      • สไลด์จะต้องอัดมาเป็นภาพก่อน
      • ภาพโพลาลอยด์ใช้ไม่ได้เนื่องจากคุณภาพไม่ดี

ด้านหลังของภาพเขียนด้วยดินสอโดยระบุชื่อเรื่อง ชื่อผู้เขียนหมายเลข ลำดับภาพ และเครื่องหมายแสดงขอบบนของภาพโดยไม่ต้องติดภาพกับสิ่งใดแต่ให้ใส่ซองแยกต่างหาก พร้อมทั้งพิมพ์คำบรรยายภาพเป็นภาษาอังกฤษควบคู่กับภาษาไทยแยกในกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง ยกเว้นบทความเป็นภาษาอังกฤษ ให้พิมพ์คำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ

  • ภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอล หรือภาพสแกน แยกไฟล์ต่างหากจากบทความ บันทึกภาพเป็น Grayscale (ขาว-ดำ) โดยใช้นามสกุล .tiff หรือ .jpeg ขนาดไม่ต่ำกว่า 4 x 6 นิ้ว (4M หรือ Dimensions 1600x1200)

กรณีที่ต้องการตีพิมพ์ภาพสี ให้ส่งภาพต้นฉบับที่อัดบนกระดาษมันมาด้วย พร้อมระบุในหนังสือนำส่งบทความ กองบรรณาธิการจะแจ้งค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดพิมพ์ภาพให้ทราบต่อไป

  1. จดหมายอนุญาตให้ตีพิมพ์เอกสารสงวนสิทธิ์ (Letter of Permission for Copyright Material) รูปภาพ สื่อ ตาราง ที่ได้รับการตีพิมพ์ไว้ก่อนในวารสารอื่นและสงวนสิทธิ์ จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ถือลิขสิทธิ์ (copyright holder) เป็นลายลักษณ์อักษร

การอ้างคำพูด (Quotations) จะต้องเขียนไว้ใน เครื่องหมายสัญประกาศ (quotation marks) พร้อมกับระบุ เอกสารอ้างอิง ทั้งนี้ถ้ามากกว่า 5 บรรทัด จะต้องได้รับอนุญาต จากผู้นิพนธ์ต้นฉบับ

รูปภาพมนุษย์ (Photograph of person) ถ้าภาพนั้น มีโอกาสที่จะบ่งบอกได้ว่าเป็นบุคคลใด (identifiable) จะ ต้องแสดงหลักฐานการได้รับอนุญาตจากเจ้าของรูปภาพว่าอนุญาต ให้เผยแพร่ได้

  1. หน่วยมาตรฐานการวัด (Unit of Measurement) หน่วยมาตรฐานการวัดความยาว ความสูง น้ำหนักปริมาตรควรใช้ระบบเมตริก อุณหภูมิควรใช้หน่วย เป็นองศาเซลเซียส ความดันโลหิตควรใช้หน่วยเป็น มิลลิเมตรปรอทการตรวจทางโลหิตวิทยาและตรวจทางชีวเคมีควรใช้หน่วยเป็นระบบเมตริก หน่วยการวัดอื่น ๆ ควรใช้มาตรฐานสากลนิยม
  2. คำย่อและสัญลักษณ์ (Abbreviation and Symbol) ใช้คำย่อที่เหมาะสม โดยหลีกเลี่ยงการใช้คำย่อที่ชื่อเรื่อง และในบทคัดย่อควรใช้คำย่อเฉพาะในกรณีจำเป็น ทั้งนี้จะต้องใช้คำเต็มในบริเวณแรกที่อ้างถึงในบทความ และวงเล็บคำย่อไว้ด้านท้ายฟัน (tooth) เมื่อระบุเป็นซี่ใดซี่หนึ่งให้ใช้การเขียนชื่ออย่างเดียว เช่น ฟันเขี้ยวบนขวา หรือ upper right canine ถ้าใช้สัญลักษณ์ให้มีชื่อในวงเล็บต่อท้ายเฉพาะครั้งแรกที่เอ่ยถึง เช่น ฟัน #31 (ฟันตัดซี่กลางด้านซ้าย) เป็นต้น
  • สำเนาพิมพ์ (Reprint, Offprint) บทความประกอบบทวิทยาการและบทความปริทัศน์ผู้เขียนจะได้รับสำเนาพิมพ์ เรื่องละ 2 ชุด
  • การขอสำเนาพิมพ์ (Reprint Request) ให้ติดต่อยังผู้นิพนธ์ที่รับผิดชอบนั้นโดยตรง
  • จริยธรรม (Ethics) วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นจะพิจารณาลงตีพิมพ์บทความที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เฉพาะการวิจัยที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมของการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือจากสถาบันของรัฐอื่นๆ