พยาบาลกับการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ Nurses and Development of Emotional Quotient

Authors

  • กุนนที พุ่มสงวน ภาควิชาการพยาบาลอนามัยชุมชน วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก
  • กัลยา ไผ่เกาะ วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก

Keywords:

ความฉลาดทางอารมณ์, การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์, พยาบาล, Emotional Quotient, Development Of Emotion Quotient, Nurses

Abstract

การดำเนินชีวิตที่ขาดความเข้าใจในตนเอง และขาดความสามารถในจัดการปัญหาทางด้านอารมณ์จะทำให้เกิดปัญหากับตัวบุคคล และบุคคลอื่น แต่ถ้าบุคคลมีความฉลาดทางอารมณ์จะสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้มากกว่าผู้อื่น เพราะความฉลาดทางอารมณ์เป็นความสามารถของบุคคลในการตระหนักรู้ และเข้าใจอารมณ์ หรือความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น ทำให้บุคคลสามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเอง และสามารถสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่นได้ ความฉลาดทางอารมณ์เป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้ ถ้าผู้ใดสามารถพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ได้ดี จะทำให้บุคคลนั้นมีสุขภาพจิตดี สามารถจัดการกับความเครียดได้ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่กดดันเพียงใด พยาบาลเป็นบุคลากรทางสุขภาพที่ใกล้ชิดกับผู้รับบริการโดยตรง ถ้าพยาบาลเป็นผู้มีความฉลาดทางอารมณ์แล้ว ย่อมสามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองและของผู้ป่วยได้ ดังนั้นพยาบาลจำเป็นต้องมีความฉลาดทางอารมณ์โดยเข้าใจอารมณ์ของตนเอง และสามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ ต้องเข้าใจความคิด ความรู้สึก และความต้องการของ
ผู้ป่วย รับฟังปัญหาอย่างตั้งใจ นอกจากนี้พยาบาลควรต้องส่งเสริม สนับสนุนเอื้ออำนวยให้ผู้ป่วยมีความฉลาดทางอารมณ์เพื่อให้ผู้ป่วยดูแลตนเอง และจัดการกับอารมณ์ตนเองได้อย่างเหมาะสม สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างปกติสุข บนพื้นฐานของความฉลาดทางอารมณ์อยู่เบื้องหลังที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

A lack of self-understanding and lack of the ability to handle emotional problems can result in problems for individuals and other people around them. Those with a high emotional quotient are more likely to be

Downloads

Download data is not yet available.

Downloads

How to Cite

1.
พุ่มสงวน ก, ไผ่เกาะ ก. พยาบาลกับการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ Nurses and Development of Emotional Quotient. J Royal Thai Army Nurses [Internet]. 2015 Feb. 4 [cited 2024 Dec. 22];15(3):18-23. Available from: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JRTAN/article/view/30213