การเสริมสร้างการปรับตัวของครอบครัวผู้ต้องขังด้วยการปรึกษาครอบครัวเชิงบูรณาการโดยมีทฤษฎีโครงสร้างเป็นฐาน
คำสำคัญ:
การปรับตัวของครอบครัว, ผู้ต้องขัง, การปรึกษาครอบครัวเชิงบูรณาการบทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาองค์ประกอบเชิงยืนยันการปรับตัวของครอบครัว และศึกษาผลการปรึกษาครอบครัว แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบเชิงยืนยันการปรับตัวของครอบครัว กลุ่มตัวอย่าง คือภรรยาและบุตรอายุ 12 ปีขึ้นไปของผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำไม่เกิน 1 ปี ขั้นตอนที่ 2 การเสริมสร้างการปรับตัวของครอบครัวด้วยการปรึกษาครอบครัวเชิง บูรณาการ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ภรรยาและบุตรอายุ 12 ปีขึ้นไปของผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำไม่เกิน 1 ปี ที่มีคะแนนการปรับตัวน้อย ที่สุด จำนวน 20 ครอบครัว ทำการสุ่มอย่างง่ายเข้ากลุ่มทดลอง 10 และกลุ่มควบคุม 10 ครอบครัว เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบวัดการ ปรับตัวของครอบครัว และรูปแบบการปรึกษาครอบครัวเชิงบูรณาการที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น สถิติที่ใช้ คือ สถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์ องค์ประกอบเชิงยืนยัน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ
ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบเชิงยืนยันการปรับตัวของครอบครัวผู้ต้องขัง ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ บทบาทหน้าที่ของครอบครัว ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์กับสังคมและความพร้อมที่จะเผชิญปัญหาของครอบครัว มี ความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 2) กลุ่มทดลองที่ได้รับการปรึกษาครอบครัวมีค่าเฉลี่ยคะแนนการปรับตัวเมื่อสิ้นสุด การทดลอง และติดตามผลสูงกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และกลุ่มทดลองที่ได้รับการปรึกษาครอบครัวมีค่าเฉลี่ย คะแนนการปรับตัวสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
Downloads
เอกสารอ้างอิง
2. Trangkasombat U. Family therapy and family counseling. (6th ed.). Bangkok. Sunta Publisher. 2011. (in thai)
3. Wongprach B. Factors Related to Stress and Coping Stress of Nursing Students in The Royal Thai Army Nursing College. Journal of the Royal Thai Army Nurses. 2018; 19(2): 201-210. (in thai)
4. Homlaor S. Ar-yor Kaenor Aeka (Father arrested) 2nd ed. Bangkok: Merge culture Founding Printing. 2009.
5. Uratanamanee S, Wacharasin C, Karuhadej P. The Adaptation of Single Father Families : The Life Experience of Single Fathers. Journal of the Royal Thai Army Nurses. 2016; 17(3): 217-225. (in thai)
6. Kumsuwan K, Chocktanakul in Wajanasara K., Achawanitkul K. Editors. Marginal Population and Fairness in Thai Society. Bangkok. Deuntula Publisher. 2012;319-340. (in thai)
7. McCubbin, H. I., & Patterson, J. M.. Family stress and adaptation to crises: A Double ABCX Model of family behavior. In D. H. Olson & R. C. Miller (Eds.), Family studies review yearbook: Vol. Beverly Hills, CA: Sage. 1983; 1:87–106.
8. Kulnapadol P. Family Counseling. 2nded. Bangkok: Ham compute offset; 2014. (in thai)
9. Goldenberg, H. & Goldenberg, I. Family Therapy: An overview (7thed.). Canada:Thomson Brooks/ Cole. 2008.
10. Kulnapadol P. Structural Family Counseling: Sustainable Family Development. Strategies. Journal of Education. 28(2) 2012;25-32.( in thai)
11. McCubbin H.I. & Patterson A.I. The T-Double ABCX Model of family adjustment. In Mc Cubbin, H.I., and A.I. Tompson (Eds.). Family assessment inventories of research and practice. Madison WI: University of Wisconsin-Madison 1987:3-32.
12. Khomkham K, Rattanathanya D, Krinuwat K. Predictive Factors for Adaptation Among Caregivers of Stroke Patients. Journal of the Royal Thai Army Nurses. 2015; 16(2):114-122. (in thai)
13. Kerdpitak P. Concepts of Guidance and Theories in Psychogical Counseling. Nonthaburi. Sukothai Thammathirat Open University Publisher; 2011. (in thai)
14. Minuchin S. Salvador Minuchin on Family Therapy with Salvador Minuchin. Psychotherapy.net, LLC. 2011.
15. Thammarux T., Chanruangvanich W., Thosingha O., Aurboonyawat T., Impact of a FamilyEmpowering Programme on the Coping Ability of the Family Caregivers of Postoperative Neurosurgical Patients in a Neurosurgical ICU. Thai Journal of Nursing Council. 2017;32(2): 49-64. (in thai)
16. Sotthiyapai S., Damsangsawat N., Sirathatnararojana T., Family Counseling Model. The Southern College Network Journal of Nursing and Public Health. 2017; 4(3): 282-290. (in thai)
17. Kinachai C., Deoisres W. Family Intervention Program Family Adaptation Cerebrovascular Disease Patients after Discharge from the Hospital. Journal of Nursing and Health Care. 2017;35(3):138-144.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความหรือข้อคิดเห็นใดใดที่ปรากฏในวารสารพยาบาลทหารบกเป็นวรรณกรรมของผู้เขียน ซึ่งบรรณาธิการหรือสมาคมพยาบาลทหารบก ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลทหารบก
The ideas and opinions expressed in the Journal of The Royal Thai Army Nurses are those of the authors and not necessarily those
of the editor or Royal Thai Army Nurses Association.
