ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลการบริหารงาน ด้านยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังคน ด้านการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 3 จังหวัดนครสวรรค์

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลการบริหารงาน และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยการบริหารกับประสิทธิผลการบริหารงาน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 113 คน แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น 0.92 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย สถิติถดถอยเชิงเส้นพหุแบบขั้นตอนค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน และ   ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน

ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างเพศชายร้อยละ 38.05 เพศหญิงร้อยละ 61.95 มีอายุระหว่าง  36 – 45 ปี ร้อยละ 35.40 การศึกษาระดับปริญญาตรี/เทียบเท่า ร้อยละ 61.95 เป็นข้าราชการ  ร้อยละ 68.14 และปฏิบัติงานมากกว่า 5 ปี ร้อยละ 57.52 ระดับปัจจัยด้านการบริหารอยู่ระดับสูง (𝒙̅ = 143.51, S.D. = 21.653) ประสิทธิผลการบริหารงานด้านยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังคน ด้านการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ อยู่ระดับสูง (𝒙̅ = 36.49, S.D. = 5.754) ปัจจัยส่วนบุคคล มีความสัมพันธ์ต่ำและไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 กับประสิทธิผล ปัจจัยการบริหารมีความสัมพันธ์กับประสิทธิผล ทั้งหมด 3 ปัจจัย ได้แก่ ด้านค่านิยมร่วม (p-value < 0.001, β = 0.401) ด้านทักษะ (p-value = 0.017, β = 0.257) และด้านการจัดบุคคลเข้าทำงาน (p-value = 0.026, β = 0.240) โดยสามารถร่วมกันส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงาน ด้านยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังคน ด้านการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ ได้ร้อยละ 70.5 (Adjusted R² = 0.705) เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการวางแผนพัฒนาประสิทธิผลการบริหารงาน ด้านยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังคน ด้านการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ ของหน่วยงานต่อไป