การกระจายตัวของยีนดื้อยา Rifampicin และ Isoniazid ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงวัณโรคดื้อยา โดยวิธี Line probe assay

ผู้แต่ง

  • อรุณรัศมี อร่ามทิพย์ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 3 จังหวัดนครสวรรค์

คำสำคัญ:

เชื้อวณัโรคดื้อยาหลายขนาน, ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรคดื้อยา, Line probe assay

บทคัดย่อ

ผลจากการสำรวจเฝ้าระวังวัณโรคดื้อยาของประเทศไทยคร้ังที่ 4 (ปี 2555-2556) พบอัตราของ วัณโรคดื้อยาหลายขนาน (MDR-TB) ในผู้ป่วยรายใหม่ร้อยละ 2 และมีอัตราการดื้อยาหลายขนานในกลุ่ม ผู้ป่วยที่เคยได้รับการรักษามาก่อนสูงมากถึงร้อยละ 18.88 ข้อมูลดังกล่าวนำมาสู่การศึกษาเชิงพรรณนาแบบ ตัดขวาง (Cross-sectional descriptive study) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการแพร่กระจายของยีนดื้อยา รักษาวัณโรคหลายขนานจากการตรวจวิเคราะห์หายีนดื้อยา Isoniazid และ Rifampicin โดยวิธี Line probe assay (LPA) ในกลุ่มตัวอย่างของผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการดื้อยารักษาวัณโรค (Risk group of MDRTB) ระหว่างเดือน เมษายน 2559 ถึง เดือน มีนาคม 2560 จากผลการวิจัยพบว่า เมื่อตรวจไม่พบยีนดื้อยา Rifampicin ในตัวอย่างแล้ว ส่วนใหญ่จะตรวจไม่พบยีนดื้อยา Isoniazid ไปด้วย ในขณะเดียวกัน การตรวจ พบยีนดื้อยา Rifampicin ในตัวอย่าง จะตรวจพบยีนดื้อยารักษาวัณโรคหลายขนาน (Multi-drug resistance genes) คือ ยีนดื้อยา Isoniazid และ Rifampicin ร่วมกัน ซึ่งมีนัยสำคัญทางสถิติ(p-value < 0.010) นอกจาก นี้ยังพบว่ากลุ่มเสี่ยงที่ตรวจพบยีนดื้อยารักษาวัณโรคหลายขนาน ส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยอายุไม่เกิน 60 ปี หรือวัยทำงาน และเป็นกลุ่มเสี่ยงประเภท On-treatment ซึ่งมีนัยสำคัญทางสถิติเช่นกัน (p-value = 0.036) สำหรับรูปแบบการกลายพันธุ์แบบปกติซึ่งตรวจพบยีนดื้อยารักษาวัณโรคเท่านั้น กับรูปแบบการกลายพันธุ์ของยีนซึ่งตรวจพบยีนดื้อยารักษาวัณโรคร่วมกับยีนดั้งเดิม (Wild type) ที่เกิดขึ้นจากการตรวจวิเคราะห์ด้วยวิธ ีLPA สามารถเกิดขึ้นได้ ทั้งในการตรวจพบยีนดื้อยารักษาวัณโรคขนานเดียว (Mono-drug resistant genes) หรือการตรวจพบยีนดื้อยารักษาวัณโรคหลายขนาน โดยไม่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัย สำคัญทางสถิติ (p-value = 1.000) ความรู้ที่ได้จากผลการวิจัยในครั้งนี้อาจนำประยุกต์ใช้ร่วมกับแนวทาง การคัดกรองเพื่อค้นหาผู้ป่วยติดเชื้อวัณโรคดื้อยาหลายขนานในเขตสขุภาพที่ 3 และเป็นแนวทางการปฏบัติ งานในการตรวจวิเคราะห์หายีนดื้อยาด้วยเทคนิค LPA สำหรับงานห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ สำนักงาน ป้องกันควบคุมโรคที่ 3 จังหวัดนครสวรรค์ ในโอกาสต่อไป

เอกสารอ้างอิง

1. สำนักวัณโรค. แนวทางการรักษาผู้ป่วยวัณโรค ดื้อยาหลายขนานด้วยสูตรยาระยะสั้น 9 เดือน. นนทบุรี: สำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ; 2561.

2. สำนักวัณโรค. คู่มือประเมินมาตรฐาน โรงพยาบาลคุณภาพการดแูลรักษาวัณโรค 2560: สำนักพิมพ์อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์; 2560.

3. สำนักวัณโรค. แนวทางการบริหารจัดการผู้ป่วย วัณโรคดื้อยา: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร แห่งประเทศไทย; 2558.

4. เกวลี สุนทรมน, ลัดดาวัลย์ ปัญญา, ปัทมา มั่นคง ดี, วิไลลักษณ์ หมดมลทิน, วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร, นริศ บุญธนภัทร และคณะ. การประเมิน อุปสรรคเชิงระบบในการบริหารจัดการวัณโรค ดื้อยาหลายขนาน:กรณีศึกษาในโรงพยาบาลแห่ง หนึ่งในจังหวัดลพบุรี วารสารวิชาการสาธารณสุข. 2560;26(4):770-8

5. สำนักวัณโรค. การคัดกรองเพื่อค้นหาวัณโรคและ วัณโรคดื้อยา. กทม.: สำนักพิมพ์ อักษรกราฟ ฟิค แอนด์ดีไซน์; 2561.

6. Hain Lifescience. GenoType MTBDRplus. Nehren, Germany; 2012.

7. Muhammad Osman, John A. Simpson, Judy Caldwell, Marlein Bosman, Mark P. Nicol. GeneXpert MTB/RIF Version G4 for Identification of Rifampin-Resistant
Tuberculosis in a Programmatic Setting 2014;52:635-7

8. รติพร แกมเงิน, ชัญญานุช ภู่ทิม, บดินทร์ บุตรอินทร์. วัณโรคดื้อยาชนิดรุนแรง (Extensively-drug resistant tuberculosis):.สายพันธุ์ใหม่และความ ท้าทายในอนาคต. วารสารเทคนิคการแพทย์ เชียงใหม่. 2558;48(1):18-28

9. Parveen Kumar, Veena Balooni, Brijesh Kumar Sharma, Virender Kapil, K.S. Sachdeva, Sarman Singh. High degree of multi-drug resistance and hetero-resistance in pulmonary TB patients from Punjab state of India 2013;94:1-8

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

18-03-2019

รูปแบบการอ้างอิง

1.
อร่ามทิพย์ อ. การกระจายตัวของยีนดื้อยา Rifampicin และ Isoniazid ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงวัณโรคดื้อยา โดยวิธี Line probe assay. JDPC3 [อินเทอร์เน็ต]. 18 มีนาคม 2019 [อ้างถึง 21 ธันวาคม 2025];12(3):11-8. available at: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JDPC3/article/view/178388

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย