การศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ฐานข้อมูลการจ่ายยาอิเล็กทรอนิกส์ ของโรงพยาบาลในการประเมินความสัมพันธ์ของโรคมะเร็งในลำไสัใหญ่
Main Article Content
บทคัดย่อ
การศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ฐานข้อมูลการจ่ายยาอิเล็กทรอนิกส์ของโรงพยาบาลในการประเมินความสัมพันธ์ของโรคมะเร็งในลำไสัใหญ่ในกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา แบบย้อนหลัง (retrospective observational study) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบความตรงของข้อมูลการได้รับยาของผู้ป่วยจากแฟ้มประวัติผู้ป่วยเปรียบเทียบกับข้อมูลจากฐานข้อมูลการจ่ายยาอิเล็กทรอนิกส์ของโรงพยาบาล และ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลการวินิจฉัยโรคตามรหัสมาตรฐาน International Classification of Diseases 10th revision (ICD-10) ที่ถูกบันทึกลงในฐานข้อมูลการจ่ายยาอิเล็กทรอนิกส์ของโรงพยาบาลก่อนที่จะนำมาใช้ในการประเมินความสัมพันธ์ระหว่างการรับยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์และโรคมะเร็งในลำไสัใหญ่ ผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์และมีประวัติการได้รับยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ (NSAIDs) ในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2543-2545 จะถูกสุ่มให้เข้าร่วมการศึกษา โดยการศึกษานี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้น
ในการศึกษาขั้นที่ 1 เป็นการตรวจสอบความตรงของข้อมูลการได้รับยาของผู้ป่วยจากแฟ้มประวัติผู้ป่วยกับข้อมูลจากฐานข้อมูลการจ่ายยาอิเล็กทรอนิกส์ของโรงพยาบาล โดยมีการส่งแบบสอบถามเกี่ยวการใช้ยากลุ่ม NSAIDs ไปยังผู้ป่วยในกลุ่มที่รับประทานยา NSAIDs ติดต่อกันมากกว่า 6 เดือน หรือกลุ่มใช้ยาต่อเนื่อง (Continued Use) จำนวน 243 คน และในกลุ่มรับประทานยา NSAIDs อย่างน้อย 1 ครั้งใน 1 ปี หรือกลุ่มที่เคยใช้ยา (Ever Use) จำนวน 500 คน ผลการศึกษาพบว่า มีแบบสอบถามที่ถูกตอบกลับจำนวน 118 คน ในกลุ่มใช้ยาต่อเนื่อง (Continued Use) และมีแบบสอบถามที่ตอบกลับจำนวน 165 คนในกลุ่มที่เคยใช้ยา (Ever Use) แต่มีเพียง 125 แบบสอบถามที่ตอบกลับที่สามารถนำมาวิเคราะห์ผลการศึกษาได้ ผลการศึกษาในขั้นที่ 1 พบว่าข้อมูลเปรียบเทียบ ความตรงของชื่อยา ความแรง การบริหารยา และจำนวนยาที่แพทย์สั่งโดยเปรียบเทียบจากข้อมูลจากแหล่งข้อมูลแฟ้มประวัติผู้ป่วย (Patient Medical Record) กับฐานข้อมูลการจ่ายยาอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาต่อเนื่อง (Continued Use) พบว่ามีความตรงของชื่อยาร้อยละ 73 ความตรงของความแรงร้อยละ 72 ความตรงของการบริหารยาร้อยละ 69.7 และ ความตรงของจำนวนยาที่แพทย์สั่งร้อยละ 68.2 ตามลำดับ สำหรับกลุ่มที่เคยใช้ยา (Ever Use) พบว่ามีความตรงของชื่อยาร้อยละ 76 ความตรงของความแรงร้อยละ 75.4 ความตรงของการบริหารยา ร้อยละ 74.6 และ ความตรงของจำนวนยาที่แพทย์สั่งร้อยละ 72.8 ตามลำดับ
ในการศึกษาขั้นที่ 2 เป็นการศึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของการบันทึกข้อมูลการวินิจฉัยของโรคมะเร็ง ลำไส้ใหญ่ในกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้ยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ โดยใช้ข้อมูลจากแฟ้มประวัติผู้ป่วยเปรียบเทียบกับมาตรฐานการวินิจฉัยจากเกณฑ์การวินิจฉัยของ National Comprehensive Cancer Network (NCCN) Clinical Practice Guidelines in Oncology version 2003 กลุ่มประชากรคือผู้ป่วยที่ได้รับประทานยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์และเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการบันทึกการวินิจฉัยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ตามรหัสมาตรฐานของ International Classification of Diseases 10th reversion (ICD-10) จากฐานข้อมูลการจ่ายยาอิเล็กทรอนิกส์ในโรงพยาบาลศูนย์ ขอนแก่น ระหว่างปีงบประมาณ 2543-2545 ผลการศึกษาในขั้นที่ 2 พบว่ามีผู้ป่วยที่ตรงตามเกณฑ์ของการศึกษา 80 ราย และในจำนวนนี้มีผู้ป่วยเพียง 64 รายที่สามารถนำข้อมูลมาประเมินผลไต้ โดยพบว่าผลการบันทึกข้อมูลการวินิจฉัยของผู้ป่วยที่อยู่ในระดับ definite มีจำนวนร้อยละ 59.4 (38 คน) ในระดับ probable มีจำนวนร้อยละ 25(16 คน) ในระดับ possible มีจำนวนร้อยละ 3.1 (2 คน) และ ในระดับ unlikely มีจำนวนร้อยละ 1.6 (1 คน) ตามลำดับ
ในการศึกษาความตรงของข้อมูลการได้รับยาของผู้ป่วยจากแฟ้มประวัติผู้ป่วยกับข้อมูลจากฐานข้อมูลการจ่ายยาอิเล็กทรอนิกส์ของโรงพยาบาลพบว่ามีความตรงของข้อมูลอยู่ในช่วงระดับร้อยละ 70 และในส่วนของความถูกต้องของข้อมูลการวินิจฉัย โดยใช้ข้อมูลที่ถูกบันทึกในแฟ้มประวัติผู้ป่วยเปรียบเทียบกับเกณฑ์การวินิจฉัยของ NCCN ผลการศึกษาพบว่า ความถูกต้องของการบันทึกข้อมูลการวินิจฉัยในระดับ definite เท่ากับร้อยละ 59.4 (38 คน) ซึ่ง ข้อมูลความถูกต้องทั้งสองขั้นยังอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามในทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัยโรคมะเร็งอาศัยผลการตรวจทางพยาธิวิทยาเป็นหลัก ดังนั้นถ้าสามารถเพิ่มความสมบูรณ์ในการบันทึกข้อมูลโดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Endoscopy ก็มีความเป็นไปได้ในการใช้ข้อมูลที่ถูกบันทึกในฐานข้อมูลการจ่ายยาอิเล็กทรอนิกส์ของโรงพยาบาลในส่วนของข้อมูลการวินิจฉัยมาศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์กับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอนาคต
Article Details
กรณีที่ใช้บางส่วนจากผลงานของผู้อื่น ผู้นิพนธ์ต้อง ยืนยันว่าได้รับการอนุญาต (permission) ให้ใช้ผลงานบางส่วนจากผู้นิพนธ์ต้นฉบับ (Original author) เรียบร้อยแล้ว และต้องแนบเอกสารหลักฐาน ว่าได้รับการอนุญาต (permission) ประกอบมาด้วย
เอกสารอ้างอิง
Bennett A, Del tacca M. 1975. Proceedings: Prostaglandins in human colonic carcinoma. Gut 16 (5): 409.
Jaffe BM. 1974. Prostaglandins and cancer: an update. Prostaglandins 6(6): 453-61.
Garcia-Rodriguez LA, Huerta-Alvarez C. 2000. Reduce incidence of colorectal adenoma among long-term user of NSAIDs: a pooled analysis of published studies and a new population-basedstudy. Epidermiology 11(4):129-34.
Giovannucci, Rimm EB, Stanpfer M, et al. 1994. Aspirin use and the risk for colorectal cancer and adenoma in male health professionals. Ann Intern Med 121(4):241-6.
Greene F, Page D, Fleming I, et al. 2002. AJCC Cancer Staging Manual. New York: Springer-Verlag.
Limwattananon S, Limwattananon C, Pannarunothai S. 2003. Use of hospital electronic database for drug utilization analysis: a tool for an evaluation of Universal Healthcare Coverage Policy. Journal of Health Science 12: 169-184.
Marnett LJ. 1992. Aspirin and the potential role of prostaglandins in colon cancer. Cancer Res 52:5575-89.
Marnett LJ, DuBois RN. 2002. COX-2: a target for colon cancer prevention. Annu RevPharmacol Toxicol 42:55-80.
Pamler RH. 1997. Process-based measures of quality: the need for detailed clinical data in large health care databases. Ann Intern Med127:733-8.
Thun MJ, Namboodiri MM, Calle EE, et al. 1993. Heath CW Jr. Aspirin use and risk of fatal cancer. Cancer Res 53(6): 1322-7.
World Health Organization (WHO): Quick Cancer Facts. 2008; Available at URL: http://www.who.int/cancer/en/ Accessed Feb 18, 2008.