การศึกษาค่าใช้จ่าย และผลการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน ในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยเชิงพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการรักษา และค่าใช้จ่ายทางตรงของการรักษาผู้ป่วย โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันได้แก่ acute lymphoblastic leukemia (ALL), acute Myeloid leukemia (AML) และ acute promyelocytic leukemia (APL) ในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์โดยเก็บข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียน ผู้ป่วยรายใหม่ในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2547 - 30 กันยายน 2549 จำนวน 151 ราย เป็นผู้ป่วยเด็ก 45 ราย ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดทุกราย และผู้ป่วยผู้ใหญ่ 106 ราย ได้รับการรักษารูปแบบแตกต่างกันตามสภาวผู้ป่วย ข้อมูลผลการรักษาติดตามผู้ป่วย 2 ปี ส่วนค่าใช้จ่ายติดตามผู้ป่วย 1 ปีหลังการวินิจฉัยในมุมมองของผู้ให้บริการ ผลการรักษาพบว่า ผู้ป่วยเด็กมีอัตราการรอดชีวิตสูงกว่าผู้ป่วยผู้ใหญ่ โดยอัตราการรอดชีวิตในผู้ป่วยเด็ก ALL AML และ APL เท่ากับร้อยละ 68.57 37.50 และ 100 ขณะที่ผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่รักษาด้วยยาเคมีบำบัดเท่ากับร้อยละ 6.25 4.69 และ 25 ตามลำดับ โดยผู้ป่วยผู้ใหญ่มีมัธยฐานระยะเวลารอดชีวิตเท่ากับ 3.50 2.87 และ 14.47 เดือนตามลำดับ ส่วนผู้ป่วยผู้ใหญ่ AML ที่รักษาแบบ palliative chemotherapy และไม่ได้รับยาเคมีบำบัดมีมัธยฐานระยะเวลา รอดชีวิตเพียง 0.57 และ 1.03 เดือนตามลำดับ เมื่อพิจารณาเฉพาะค่าใช้จ่ายในปีแรกของการรักษาพบว่าผู้ป่วยเด็ก ALL AML และ APL มีมัธยฐานค่าใช้จ่ายเท่ากับ 166,544 366,147 และ 360,647 บาท และผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่รักษา ด้วยยาเคมีบำบัดเท่ากับ 115,911 349,658 และ 169,904 บาทตามลำดับ ส่วนผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่รักษาด้วยรูปแบบอื่น เสียชีวิตก่อนเวลา 1 ปี จากการศึกษาพบว่า ผลการรักษาและค่าใช้จ่ายการรักษาผู้ป่วยขึ้นกับชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาว รูปแบบการรักษาและชุดยาเคมีบำบัดที่ผู้ป่วยได้รับ ซึ่งควรมีการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อค่าใช้จ่ายและผลการรักษาผู้ป่วย เพื่อใช้ในการกำหนดแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยที่เหมาะสมต่อไป
Article Details
กรณีที่ใช้บางส่วนจากผลงานของผู้อื่น ผู้นิพนธ์ต้อง ยืนยันว่าได้รับการอนุญาต (permission) ให้ใช้ผลงานบางส่วนจากผู้นิพนธ์ต้นฉบับ (Original author) เรียบร้อยแล้ว และต้องแนบเอกสารหลักฐาน ว่าได้รับการอนุญาต (permission) ประกอบมาด้วย
เอกสารอ้างอิง
Aekplakorn W, Stolk R, Neal B, Suriyawongpaisal P, Chongsuvivatwong V, Cheepudomwit S, et al. The prevalence and management of diabetes in Thai adults: the international collaborative study of cardiovascular disease in Asia. Diabetes Care 2003; 26(10): 2758-63.
American Diabetes Association. Standards of medical care in diabetesfi 2004. Diabetes Care 2004;27 (suppl 1): s15-s35.
Chetthakul T, Pongchaiyakul C, Tandhanand S. Improvement of diabetic care at Maharat Nakhon Ratchasima Hospital (the study of Diabcare-Asia from 1997 to 2003). J MedAssoc Thai 2006; 89(1): 56-62.
Chin MH, Auerbach SB, Cook S, Harrison JF, KoppertJ, Jin L, et al. Quality of diabetes care in community health centers. Am J Public Health2000; 90(3): 431-4.
Nicolucci A, Greenfield S, Mattke S. Selecting indicators for the quality of diabetes care at the health systems level in OECD countries.Int J Qual Health Care 2006; 18 (Suppl 1):26-30.
Nitiyanant W, Chetthakul T, Sang AP, Therakiat-kumjorn C, Kunsuikmengrai K, Yeo JP. A survey study on diabetes management and complication status in primary care setting in Thailand. J Med Assoc Thai 2007; 90(1): p. 65-71.
Putzer GJ, Ramirez AM, Sneed K, Brownlee HJ, Roetzheim RG, Campbell RJ. Prevalence of patients with type 2 diabetes mellitus reachingthe American Diabetes Association’s target guidelines in a university primary care setting. South Med J 2004; 97(2): 145-8.
Rawdaree P, Chardpraorn N, Deerocha-nawong C, Suwanwalaikorn S, Chettha-kul T, Krittiyawong S, et al. Thailand Diabetes Registry (TDR)Project: Clinical status and long term vascular complications in diabetic patients. J Med Assoc Thai 2006; 89: 1-9.
Rujirawat P, Rattanachotphanit T, Limwattananon C, Chirakup S, Chaiyakunapruk N, Roze S, et al. Cost-effectiveness Analysis of type 2diabetes disease management in district hospital context: An analysis using CORE diabetes model. IJPS 2007; 3: 78-93.
Saaddine JB, Cadwell B, Gregg EW, Engelgau MM, Vinicor F, Imperatore G et al. Improvements indiabetes processes of care and intermediate outcomes: United States, 1988-2002.
Ann Intern Med 2006; 144(7): 465-74. Spann SJ, Nutting PA, Galliher JM, Peterson KA, Pavlik VN, Dickinson LM et al. Management of type 2 diabetes in the primary care setting: a practice-based research network study. Ann Fam Med 2006; 4(1): 23-31.
Taweepolcharoen N, Sumrithe S, Kunentrasai Nand Phraisuwanna S. Diabetes control in a university primary care setting in Thailand.Qual Prim Care 2006; 14(4): 219-24.
