ความชุกและลักษณะของการใช้ยาต้านเชื้อแบคทีเรียในโรคติดเชื้อ ในระบบทางเดินหายใจส่วนบน: การศึกษาในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ของหน่วยคู่สัญญาบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทนำ: การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุความชุกและวิเคราะห์ลักษณะของการใช้ยาต้านเชื้อแบคทีเรียที่ไม่เป็นไปตามแนวทางการรักษาในโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน(URI) วิธีดำเนินการวิจัย: เก็บข้อมูลของผู้ป่วยย้อนหลังจากฐานเวชระเบียนในระบบ HosXP ที่มารับบริการในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2556 ถึง 30 กันยายน 2557 โดยใช้วิธีการสุ่มในเวชระเบียนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นกลุ่มโรคURI ในทุกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในหน่วยคู่สัญญา(CUP) บัวใหญ่ จำนวน 22 แห่ง รวม 880 ราย ทำการวิเคราะห์ลักษณะการใช้ยาโดยนำข้อมูลในเวชระเบียนเทียบกับแนวทางการรักษาที่กำหนดโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ผลการวิจัย: จากข้อมูลผู้ป่วย 880 ราย มีการใช้ยาต้านเชื้อแบคทีเรียที่ไม่เป็นตามแนวทางการรักษาโรค URI คิดเป็นร้อยละ 29.77(262/880) ลักษณะของการใช้ยาต้านเชื้อแบคทีเรียไม่เป็นตามแนวทางการรักษามีดังนี้ (1) การได้รับยาต้านเชื้อแบคทีเรียโดยไม่จำเป็น ร้อยละ 81.30(213/262) ในจำนวนนี้เป็นการรับยาที่อุณหภูมิร่างกาย<39º 185 ราย, ผลการตรวจร่างกายไม่พบความผิดปกติของต่อมทอนซิลหรือต่อมน้ำเหลือง 24 ราย และอาการแสดงที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องใช้ยา 101 ราย (2) ควรได้รับยาต้านเชื้อแบคทีเรียแต่ไม่ได้รับ ร้อยละ 4.58(12/262) และ (3) ได้รับยาแต่ไม่เหมาะสมตามข้อกำหนด(Regimen) ร้อยละ14.12(37/262) ในจำนวนนี้มีการใช้ยาผิดข้อบ่งใช้ 10 ราย และการได้รับยาผิดขนาด 27 ราย สรุปผลการวิจัย: เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา การรักษาควรเป็นไปตามแนวทางที่กำหนด เพื่อให้การตรวจรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด ในการศึกษานี้ลักษณะของการใช้ยาต้านเชื้อแบคทีเรียที่ไม่เป็นไปตามแนวทางการรักษาในผู้ป่วยโรคURIมากที่สุดคือ การได้รับยาต้านเชื้อแบคทีเรียโดยไม่จำเป็น ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาการดื้อยาและสูญเสียงบประมาณในการรักษาเกินความจำเป็น ดังนั้นจึงควรทำการศึกษาเพิ่มเติมถึงสาเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้มีการจ่ายยาต้านเชื้อแบคทีเรียโดยไม่จำเป็น เพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงมาตรฐานในการสั่งจ่ายยาให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
Article Details
กรณีที่ใช้บางส่วนจากผลงานของผู้อื่น ผู้นิพนธ์ต้อง ยืนยันว่าได้รับการอนุญาต (permission) ให้ใช้ผลงานบางส่วนจากผู้นิพนธ์ต้นฉบับ (Original author) เรียบร้อยแล้ว และต้องแนบเอกสารหลักฐาน ว่าได้รับการอนุญาต (permission) ประกอบมาด้วย
เอกสารอ้างอิง
Apisarnthanarak A, Danchaivijitr S, Kwancharoenporn T, Limsrivili J, Warachan B, Bailey TC, Fraser VJ. (2006). Effectiveness of education and antibiotic- control program in a tertiary care hospital In Thailand. Clin Infect Dis 2006; 42: 768-75.
Buayai Hospital. Annual Report 2013: Department of Community Pharmacy Annual Report, 2013. 56-58.
Chokejindachai W. (2007). Current situation of antimicrobial resistance in Thailand. : A review. Nonthaburi: Health System Research Institute; 2007.
Gonzales R, Steiner JF, Lum A, Barrett PH, Jr. (1999). Decreasing antibiotic use in ambulatory practice: impact of a multidimensional intervention on the treatment of uncomplicated acute bronchitis in adults. JAMA 1999; 281: 1512-9.
Hart CA, Kariuki S. (1998). Antimicrobial resistance in developing countries. BMJ 1998; 317: 647-50.
Jongtrakul P. Antibiotic Smart Use: Rational drug use initiative and implementation. 2nd ed. Bangkok: Aksorngraphic and design; 2011.
Thai Medical Informatics Association 2008. The Top 10 Diseases of Thai people. [2014 Aug 15]. Available from:http://www.tmi.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=288&catid=36:health-information&Itemid=43.
Thamlikitkul V, Apisitwittaya W. (2004). Implementation of clinical practice guidelines for upper respiratory infection in Thailand. Int J Infect Dis 2004; 8: 47-51.
Region health care service system development committee. National Health Security office (NHSO), Thailand (Area9) Nakhon Ratchasima October, 2013. Quality and Outcome Framework (QOF) Fiscal year 2014 Area9 Nakhon Ratchasima. 22-23.