การพัฒนาคุณภาพระบบเติมยาโดยใช้แนวคิดลีนในเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดชัยนาท
Main Article Content
บทคัดย่อ
จังหวัดชัยนาทได้ดำเนินนโยบายการลดภาระงานด้านการบริหารเวชภัณฑ์ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ รพ.สต. ในการให้บริการสุขภาพแก่ผู้ป่วย การพัฒนาคุณภาพระบบเติมยาเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนความสำเร็จของนโยบายนี้ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาระบบเติมยาแบบใหม่ 2. เพื่อประเมินผลการใช้ระบบเติมยาแบบใหม่ในเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดชัยนาท วิธีดำเนินงาน การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ระบบเติมยาแบบใหม่พัฒนาขึ้นโดยใช้แนวคิดลีน จากนั้น ประเมินผลการใช้ระบบเติมยาแบบใหม่กับทั้ง 8 เครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิในจังหวัดชัยนาท โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบตัวแปรต่อไปนี้ ได้แก่ ขั้นตอนและระยะเวลาของการเบิกจ่ายยา มูลค่ายาคงคลัง มูลค่าการเบิกยา ระยะทางการขนส่งยา และจำนวนบุคลากรที่ใช้ ระหว่าง 2 ช่วงเวลา ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2562 - 31 พฤษภาคม 2563 (ก่อนลีน) และ 1 ตุลาคม 2563 - 31 พฤษภาคม 2564 (หลังลีน) ข้อมูลที่ศึกษาได้รับจากเภสัชกรผู้รับผิดชอบหลักงานบริหารเวชภัณฑ์ของแต่ละเครือข่ายโดยใช้แบบบันทึกข้อมูล ผลการวิจัย ระบบเติมยาแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย การเบิกยาผ่านระบบเบิกยาออนไลน์ การกำหนดปริมาณการใช้ต่ำสุดและสูงสุดต่อเดือนของยาแต่ละรายการ การเบิกยาตามปริมาณที่ใช้ไปจริง การเติมยาให้ รพ.สต. เดือนละ 1-2 รอบ การขนส่งยาโดยโรงพยาบาลแม่ข่าย การยกเลิกคลังยา รพ.สต. โดยสำรองยาไว้ ณ จุดจ่ายยาแทน และการยกเลิกการทำบัญชีควบคุมเวชภัณฑ์ ผลการใช้ระบบเติมยาแบบใหม่พบว่า หลังลีนขั้นตอนหลักของการเบิกจ่ายยาลดลงจาก 7 เหลือ 5 ขั้นตอน ทำให้ประหยัดเวลาขึ้น 1 สัปดาห์ มูลค่ายาคงคลังและมูลค่าการเบิกยาลดลงร้อยละ 46.02 และร้อยละ 23.67 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลแม่ข่ายบางแห่งมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางขนส่งยาเพิ่มขึ้น และทุกแห่งต้องการกำลังคนเพิ่มขึ้น ได้แก่ เจ้าหน้าที่ห้องยา/เจ้าพนักงานเภสัชกรรม และพนักงานขับรถ สรุปผลการวิจัย ระบบเติมยาแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นตามแนวคิดลีนสามารถลดความสูญเปล่าที่เกี่ยวข้องกับระบบเติมยาในเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดชัยนาท และสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ รพ.สต. ในการให้บริการสุขภาพแก่ผู้ป่วย
Article Details
กรณีที่ใช้บางส่วนจากผลงานของผู้อื่น ผู้นิพนธ์ต้อง ยืนยันว่าได้รับการอนุญาต (permission) ให้ใช้ผลงานบางส่วนจากผู้นิพนธ์ต้นฉบับ (Original author) เรียบร้อยแล้ว และต้องแนบเอกสารหลักฐาน ว่าได้รับการอนุญาต (permission) ประกอบมาด้วย
เอกสารอ้างอิง
Chatakarn V. Action research. SRJ 2015;2(1):29-49.
Fungsuk N, Polnok A. Development of efficient medicine inventory management of the health promoting hospital, Uthai District, Phranakorn Sri Ayutthaya Province. HCU Journal 2017;21(41):109-22.
Jaidee P. Lean management system : Concept and practice in public health for community engagement. PHJBUU 2017; 12(2):134-43.
Joungtrakul J, Kulpotisuwan C, Puttawong W, Keelapaeng N, Sumpowloy P, Sumana P. Action research : an intervention of organization development practice. HRI 2020;15(2):64-88.
Keangwong N. The quality development of medicines management of health promotioning hospitals in Muangsamsib contracting unit for primary care, Muang Sam Sib, Ubon Ratchathani Province. RDHSJ 2014;7(2):302-9.
Muenma S, Bouphan P. Health promotion and disease prevention performance of personnel in sub-district health promoting hospitals, Khon Kaen Province. KKU Res J (GS) 2014;14(2):71-84.
Praprukdee M. Development of a medical supplies management system in Tambon health promoting hospitals of Phra Phrom District, Nakhon Si Thammarat Province. JHSP 2021;1(2):16-29.
Rungrojphanich N. A development of dispensing processes in pharmacy inventory by lean concept. TUHJ 2017;2(1):31-5.
Sampradit S, Nimdet K, Pokpirom S, Kaewapai S. Starred Sub-district Health Promoting Hospital: threat or opportunity for developing pharmacy care in community. TJPHS 2020;3(3):16-27.
Srilamart S, Bouphan P. Drug management of health personnel at sub-district health promoting hospitals in Khon Kaen province. KKU Res J (GS) 2013;13(2):121-32.
Supakitanankun K. Effective of lean management to manage medical material, fluid solution and antiseptic at surgery department, Udonthani hospital. UDHHOSMJ 2016;24(3):230-7.
Wahing R. Education management pharmaceuticals and medicine public hospital in the Aoluek District, Krabi Province. Reg11med 2015;29(3):449-63.