คุณภาพบริการดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ : กรณีศึกษาในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดร้อยเอ็ด

Main Article Content

จุฑาภรณ์ กัญญาคำ
ธนนรรจ์ รัตนโชติพานิช
อรอนงค์ วสีขจรเลิศ
เบญจพร ศิลารักษ์

บทคัดย่อ

การศึกษาแบบย้อนหลังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพบริการดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ในโรงพยาบาล ชุมชน 1 แห่ง ในจังหวัดร้อยเอ็ด โดยอ้างอิงตัวชี้วัดของ HIVQUAL-T version 4 และ version 5 ที่สำคัญ ได้แก่ การได้รับยาป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสก่อนเริ่มยาต้านไวรัส การติดตามและประเมินความร่วมมือในการรับประทานยาต้านไวรัส การติดตามผลการตรวจ CD4 และหรือ Viral Load และการเกิดอาการอันไม่พึงประสงค์จากการรับประทานยาต้านไวรัส โดยทบทวนข้อมูลตัวแปรที่สนใจศึกษาจากฐานข้อมูลในโปรแกรม NAP โปรแกรม HosXP และเวชระเบียน กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี และโรคเอดส์ ตามรหัส ICD 10 code B20 -B24 ที่มารับบริการที่คลินิกนิรนาม ระหว่างปีงบประมาณ 2551 ถึง 2553 โดยมีเกณฑ์การคัดเลือกคือ 1) มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป; 2) มารับบริการที่คลินิกนิรนามในระหว่างปีงบประมาณ 2551 ถึง 2553 อย่างน้อย 3 ครั้ง/ปี; 3) มี ผลการตรวจระดับ CD4 ก่อนเริ่มยาต้านไวรัส ผลการศึกษาพบว่า การเข้าถึงยาต้านไวรัสภายใน 2 สัปดาห์หวังตรวจระดับ CD4 มี แนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น (ร้อยละ 27.9, 20.0 และ 43.8 ตามลำดับ) ผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับยาป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสชนิด Pneumocystis carinii pneumonia (PCP) ก่อนเริ่มยาต้านไวรัส (ร้อยละ 100.0, 93.3 และ 95.5 ตามลำดับ)ในปีงบประมาณ 2551 และ 2552 ผลการ ประเมินความร่วมมือในการรับประทานยาต้านไวรัสของผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในระดับ poor adherence และได้รับการตรวจวัดระดับ CD4 จำนวน 1 ครั้ง/ปี ร้อยละ 67.4 และ 56.7 ตามลำดับ ในขณะที่ผลการประเมินความร่วมมือในการรับประทานยาต้านไวรัสของผู้ป่วยในปีงบประมาณ 2553 ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ good adherence และร้อยละ 50.0 ของผู้ป่วยได้รับการตรวจวัดระดับ CD4 จำนวน 2 ครั้ง/ปี สัดส่วนของผู้ป่วยที่ได้รับการตรวจวัดระดับ HIV-RNA virus 1 ครั้ง/ปี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในแต่ละปี (ร้อยละ 46.5, 90.0 และ 90.6 ตามลำดับ) การเกิดความล้มเหลวทั้ง 3 ด้าน (virological failure, immunological failure และ clinical failure) ภายหลังรับประทานยา ต้านไวรัสไปแล้ว 1 ปี อยู่ในระดับต่ำ อาการอันไม่พึงประสงค์ที่พบมากที่สุดคือ ภาวะ lipoatrophy (ภาวะแก้มตอบ/หน้าตอบและเกิดเส้นเลือดฟู) รองลงมาคือ ภาวะ lipohypertrophy (ไขมันสะสมผิดที่) และผื่นจากการแพ้ยา โดยสรุปแล้วโรงพยาบาลชุมชนแห่งนี้ มี กระบวนการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อเอช ไอ วีและโรคเอดส์ตามตัวชี้วัด และมีการพัฒนาคุณภาพบริการในทิศทางที่ดีขึ้น

Article Details

ประเภทบทความ
Appendix

เอกสารอ้างอิง

Alemayehu YK. Bushen OY, Muluneh AT. et al. Evaluation of HIV/AIDS clinical care quality: the case of a referral hospital in North West Ethiopia. International Journal for Quality in Health Care 2009; Volume 21. Number 5: pp. 356-362.

Anekthananon T. Ratanasuwan W, Techasathit W, et al, Safety and Efficacy of a Simplified Fixed-Dose Combination of stavudine, Lamivudine and Nevirapine (GPO-VIR) for the Treatment of Advanced HIV-Infected Patients : A 24-Week Study, J Med Assoc Thai 2004 ; 87(7): 760-7.

Tiyou A, Belachew T, Alemseged F. et al. Predictors of adherence to antiretroviral therapy among people living with HIV/AIDS in resource-limited setting of southwest Ethiopia. AIDS Research and Therapy 2010 (7), 7:39.

Vesga JF, Alvarez c, Tamara JR, et al, Antiretrovirals adverse reactions from a prospective HIV/AIDS cohort study เท Bogot; a Colombia, Clinical Microbiology and Infectious Diseases ICC, Munich, Germany, 31 Mar - 04 Apr 2007. (Abstract)