ระบบการดูแลผู้ป่วยโรคหืดในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดกาฬสินธุ์

Main Article Content

ภัทราพร ภูลิ้นลาย
ธนนรรจ์ รัตนโชติพานิช
อรอนงค์ วลีขจรเลิศ
เบญจพร ศิลารักษ์

บทคัดย่อ

บทนำ : โรคหืดเป็นโรคเรื้อรังในระบบทางเดินหายใจที่เป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลและอาจเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระบบการดูแลผู้ป่วยโรคหืดของโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัดกาฬสินธุ์ ในด้านรูปแบบการ จัดบริการ การประเมินผลและการติดตามสภาวะโรค และระบบการส่งต่อ วัสดุและวิธีการ : การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา เก็บ ข้อมูลด้านการจัดบริการ การประเมินผลและการติดตามสภาวะโรค และระบบการส่งต่อ โดยการลงพื้นที่และสัมภาษณ์พยาบาลและเภสัชกรที่ดูแลผู้ป่วยโรคหืด โดยอาศัยแบบสอบถามรวมทั้งขอดูเอกสารในโรงพยาบาลชุมชนทั้งหมด 13 แห่ง ระหว่างเดือนพฤษภาคม - ตุลาคม พ.ศ. 2554 ผลการศึกษา : โรงพยาบาลทุกแห่งมีการจัดทั้งคลินิกโรคหืด มีแนวทางในการรักษา และมีการวัดสมรรถภาพปอด ของผู้ป่วยทุกครั้งที่มารับบริการคลินิกโรคหืด โดยมีโรงพยาบาล 9 แห่ง ที่ประเมินการควบคุมโรคหืดจากการสอบถามผู้ป่วยตามแบบ บันทึกคลินิกโรคหืดอย่างง่าย (EAC) และโรงพยาบาล 4 แห่งที่ประเมินการควบคุมโรคหืดตาม GINA guideline 2008 โดยทำแบบบันทึก คลินิกโรคหืดขึ้นมาเอง และโรงพยาบาลที่มีแนวทางการติดตามการควบคุมโรคหืดของผู้ป่วยเพื่อนำมาใช้ในการปรับเปลี่ยนยามี 11 แห่ง ส่วนการสอนการใช้ยาพ่น พบว่า โรงพยาบาลทุกแห่งสอนผู้ป่วยรายใหม่ทุกรายและประเมินการใช้ยาพ่นจากการให้ผู้ป่วยสาธิตการพ่นยา แต่มี 10 แห่ง ที่มีแนวทางในการติดตามการพ่นยาของผู้ป่วย สำหรับระบบการติดตามผู้ป่ายและระบบส่งต่อ พบว่า มีโรงพยาบาล 10 แห่ง ที่มีการติดตามผู้ป่วยขาดนัด และมีเพียง 1 แห่ง ที่มีระบบการส่งต่อผู้ป่วยไปโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ส่วนระบบยาใน โรงพยาบาล พบว่า โรงพยาบาลทุกแห่งมียากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูด แต่ยาสูดในรูปของยาผสมระหว่าง inhaled corticosteroids และ Long-acting β2 agonist มีเพียง 11 แห่ง สรุปผล : โรงพยาบาลชุมชน จังหวัดกาฬสินธุ์ มีกระบวนการในการดูแลผู้ป่วยโรคหืด อย่างเป็นระบบ แต่อาจมีวิธีการที่แตกต่างกันตามบริบทและตามความเหมาะสมของแต่ละโรงพยาบาล

Article Details

ประเภทบทความ
Appendix

เอกสารอ้างอิง

Armour c, Bosnic S, Brillant M. et al. Pharmacy Asthma Care Program (PACP) improves outcomes for patients in the community. Thorax 2007; 62:496-592

Bateman ED, Barnes BJ. Bousquet J, etal. Global strategy for asthma management and prevention: GINA executive summary. Eur RespirJ 2008: 31: 143-178

Boonsawat W, Charoenphan P, Kiatboonsri S, et al. Survey of asthma control in Thailand. Respirology. 2004.

Dejsomritrutai W, Nana A, Chierakul N. et al. Prevalence of bronchial hyperresponsiveness and

asthma in the adult population in Thailand. Chest 2006; 129:602-609

Halm EA. Wisnivesky JP and Leventhal H. Quality and Access to Care Among a Cohort of Inner-city

Adults With Asthma *: Who Gets Guideline Concordant Care?. Chest 2005; 128:1943-1950

Schonlau M, Mangione-Smith S 1Chan KS, et al. Evaluation of a Quality Improvement

Collaborative in Asthma Care: Does it Improve Processes and Outcomes of Care?. Ann Fam Med 2005: 3:200-208

Soyiri IN. Reidpath DD, Sarran c. Asthma Length of stay in Hospitals in London 2001-2006:

Demographic, Diagnostic and Temporal Factors.

PLoS ONE [online] 2011 [cited 2011 Dec 10]; 6(11): Available from http://www.plosone.org

Tsai CL, Sullivan AF, Gordon JA et al. Quality of care for acute asthma in 63 US emergency departments. Allergy and Clinical Immunology 2009; 123: 354-361