การพัฒนาสูตรตำรับไมโครบีดบำรุงผิวจากน้ำมันรำข้าว
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทนำ:ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบจากสารสกัดหรือส่วนประกอบของข้าวหอมมะลิ พบว่ามีสารสำคัญในการต้านริ้วรอยและทำให้ผิวขาวขึ้นได้ และตำบลนาเวียง อำเภอเสนางคนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นชุมชนหนึ่งที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่มีส่วนประกอบของสารสกัดจากข้าวหอมมะลิ ปัญหาที่พบคือ ผลิตภัณฑ์มีลักษณะที่ไม่น่าใช้ และไม่มีความคงตัว ดังนั้นคณะผู้วิจัยจึงได้นำเทคโนโลยีเจลไมโครบีดเข้ามาใช้ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีลักษณะสวยงามน่าใช้และเป็นการสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชน วิธีการดำเนินการวิจัย: การทดลองแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ1) การพัฒนาไมโครบีดโดยโพลิเมอร์ที่ทำหน้าที่เป็นผนังไมโครบีดประกอบด้วย โซเดียมแอลจิเนตเพคตินและเจลาติน ในอัตราส่วนต่างๆหลังจากนั้นนำไปทดสอบความคงตัวทางกายภาพของไมโครบีดในฟอสเฟตบัฟเฟอร์ที่ pH 4.5, 5.1, 5.5, 6.1, 6.5 และ7.0 ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา72 ชั่วโมง 2)การทดสอบชนิดของเจลตัวกลางที่เหมาะสมในการกระจายไมโครบีดโดยการนำไมโครบีดที่ได้จากการศึกษาในส่วนแรกมากระจายในสารก่อเจล 9 ชนิด ได้แก่Carbopol 934, Carbopol 940, Carbopolultrez 10, Carbopolultrez 20, Carbopolultrez 21, Carbopol EDT2020 ความเข้มข้น0.5 %w/v และMethyl Cellulose, Carboxy Methyl Cellulose Sodium 1500, HPMC 4000 ความเข้มข้น 2 %w/v แล้วทำการประเมินความคงตัวทางกายภาพในสภาวะเร่งที่ 60 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ผลการศึกษาวิจัย: เมื่อส่วนผสมระหว่างน้ำมันรำข้าวโซเดียมแอลจิเนตเพคตินและเจลาตินผ่านทางเข็มลงในสารละลาย Calcium chloride จะเกิดการหุ้มตัวของโพลิเมอร์เป็นไมโครบีดที่มีลักษณะเป็นทรงกลมขึ้นโดยอาศัยหลักการ Ionotropic gelation สูตรตำรับไมโครบีดที่เตรียมได้ทั้งหมดคงตัวได้ดีที่ pH 4.5-6.1 แต่เมื่อ pH สูงกว่า 6.1 จะพบว่าผนังของไมโครบีดไม่มีความคงตัว สรุปผลการวิจัย: สูตรไมโครบีดที่มีความคงตัวมากที่สุดคือสูตรตำรับที่มีโซเดียมแอลจิเนต เพคติน และเจลาติน (w/w) เท่ากับ 3:2:2 และ 2.5:2.5:2 เมื่อคัดเลือกสูตรไมโครบีดที่คงตัวมาทำการกระจายในเจลตัวกลางพบว่าตำรับที่ใช้ Carboxy Methyl Cellulose Sodium 1500 เป็นสารก่อเจลจะได้ตำหรับเจลที่ใสสามารถพยุงไมโครบีดให้ลอยในเจลได้และไมโครบีดยังมีความคงตัวไม่เสียรูปร่างไปทำให้ได้ตำรับเจลไมโครบีดที่สวยงามน่าใช้
Article Details
กรณีที่ใช้บางส่วนจากผลงานของผู้อื่น ผู้นิพนธ์ต้อง ยืนยันว่าได้รับการอนุญาต (permission) ให้ใช้ผลงานบางส่วนจากผู้นิพนธ์ต้นฉบับ (Original author) เรียบร้อยแล้ว และต้องแนบเอกสารหลักฐาน ว่าได้รับการอนุญาต (permission) ประกอบมาด้วย