การรับรู้และความเข้าใจการใช้ยาของผู้ป่วยจิตเภท โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทนำ: โรคจิตเภทจัดเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญโรคหนึ่งของประเทศไทย การรักษาด้วยยาและความร่วมมือในการใช้ยาอย่างต่อเนื่องมีผลต่อการรักษา วิธีการดำเนินการวิจัย: การศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยนอกที่ได้รับการวินิจฉัยโรคจิตเภท ที่มารับบริการที่โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างเดือนเมษายน – สิงหาคม พ.ศ. 2555 ทำการเก็บข้อมูลรายบุคคลจากฐานข้อมูล แฟ้มประวัติผู้ป่วย และการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติไค-สแควร์ ผลการศึกษาวิจัย: ผู้ป่วยโรคจิตเภท จำนวน 127 ราย เข้าร่วมการศึกษาโดยความสมัครใจ เป็นเพศชาย (ร้อยละ 52.00) อายุเฉลี่ยประมาณ 39 ปี ผลการศึกษาการรับรู้เกี่ยวกับโรค พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคอะไร และไม่ทราบว่ายาที่ได้รับตัวใดเป็นยาต้านโรคจิต (ร้อยละ 85.04 และ 96.06 ตามลำดับ) ร้อยละ 96.85 ของผู้ป่วยรายงานว่าเคยได้รับคำแนะนำด้านยาจากบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับคำแนะนำจากเภสัชกรระหว่างการจ่ายยา (ร้อยละ 71.65) พบผู้ป่วยที่เคยได้รับการให้คำปรึกษาเรื่องยาเต็มรูปแบบเป็นรายบุคคลร้อยละ 20 ผลสำรวจเกี่ยวกับการรับรู้เรื่องยาและการใช้ยา พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความรู้น้อยมาก ส่วนใหญ่ไม่สามารถบอกชื่อยา ข้อบ่งใช้ ขนาดยา หรือ อาการข้างเคียงที่พบบ่อย ได้อย่างถูกต้อง (ร้อยละ 75.59, 96.06, 70.87 และ 96.85 ตามลำดับ) ผู้ป่วยส่วนใหญ่ทราบเกี่ยวกับวิธีการรับประทานยา (ร้อยละ 96.06) ผู้ป่วยบางส่วนไม่มีความรู้เรื่องระยะเวลาที่ต้องใช้ในการรักษา (ร้อยละ 21.26) และผู้ป่วยบางส่วนเข้าใจผิดว่าหากอาการตนเองดีขึ้นสามารถหยุดยาได้เอง (ร้อยละ 12.59) การศึกษานี้พบว่าปัจจัยที่สำคัญอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อการเพิ่มการรับรู้และความเข้าใจการใช้ยาคือ การอ่านฉลากได้และอธิบายการใช้ยาได้อย่างถูกต้อง (p <0.01) สรุปผลการวิจัย: ผู้ป่วยจิตเภทส่วนใหญ่มีปัญหาการรับรู้ด้านโรคและการใช้ยา การอ่านฉลากอาจมีผลช่วยให้ผู้ป่วยรับประทานได้ถูกต้อง โดยสรุปผู้ให้บริการทางการแพทย์ควรมีบทบาทให้ข้อมูลด้านโรคและยาเพื่อผลการรักษาและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย
Article Details
กรณีที่ใช้บางส่วนจากผลงานของผู้อื่น ผู้นิพนธ์ต้อง ยืนยันว่าได้รับการอนุญาต (permission) ให้ใช้ผลงานบางส่วนจากผู้นิพนธ์ต้นฉบับ (Original author) เรียบร้อยแล้ว และต้องแนบเอกสารหลักฐาน ว่าได้รับการอนุญาต (permission) ประกอบมาด้วย
เอกสารอ้างอิง
Brown MT and Bussell JK. Medication adherence: who cares? Mayo Clin Proc 2011; 86(4): 304-14.
Department of Mental Health, Ministry of Public Health. Annual report 2011. Bangkok: Bangkok Block. 2011, 108-18.
Fenton WS, Blyler CR, Heinssen RK. Determinants of medication compliance in schizophrenia: empirical and clinical findings. Schizophr Bull1997; 23: 637–51.
Gilmer TP, Dolder CR, Lacro JP, Folsom DP, Lindamer L, Garcia P, Jeste DV. Adherence to treatment with antipsychotic medication and healthcare costs among medicaid beneficiaries with schizophrenia. Am J Psychiatry 2004; 161: 692–9.
Kripalani S, Schnotzer B, Jacobson TA. Improving medication adherence through graphically enhanced interventions in coronary heart disease (IMAGE-CHD): a randomized controlled trial. J Gen Intern Med 2012; 27(12): 1609-17.
Valenstein M, Ganoczy D, Mc Carthy JF, Kim HM, Lee TA, Blow FC. Antipsychotic adherence overtime among patients receiving treatment for schizophrenia: a retrospective review. Clin Psychiatry 2006; 67: 1542–50.
Velligan DI, Diamond PM, Mintz J, Maples N, Li X, Zeber J. The use of individually tailored environmental supports to improve medication adherence and outcomes in schizophrenia. Schizophr Bull 2008; 34: 483–93.
Weiden PJ, Kozma C, Grogg A, Locklear J. Partial compliance and risk of hospitalization among California Medicaid patients with schizophrenia. Psychiatr Serv 2004; 55: 886–91.
Zygmunt A, Olfson M, Boyer CA, Mechanic D. Interventions to improve medication adherence in schizophrenia. Am J Psychiatry 2002; 159: 1653-64.