การกักเก็บของสารประกอบพอลีฟีนอลิกที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากสารสกัดใบติ้วในระบบนำส่งตัวพาไขมันแข็งขนาดนาโนเมตรเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง

Main Article Content

ณัฐชา พฤษสุภี
พิชญ์จิรา สงวนบุญญพงษ์
ชนัญญา รักษ์เรืองนาม
บัญชา ยิ่งงาม
ณัฐพันธุ์ ศุภกา
วันดี รังสีวิจิตรประภา

บทคัดย่อ

บทนำ: สารสกัดใบติ้ว มีสารประกอบพอลิฟีนอลิกสูง และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดีแต่มีความสามารถในการซึมผ่านผิวหนังต่ำซึ่งเป็นข้อจำกัดในการใช้เป็นเครื่องสำอาง  การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกักเก็บสารสกัดใบติ้วในระบบนำส่งตัวพาไขมันแข็งขนาดนาโนเมตร วิธีการดำเนินการวิจัย: สกัดใบติ้วด้วยตัวทำละลายผสมระหว่างเอทานอล78%และน้ำ วิเคราะห์ปริมาณสารเครื่องหมายกรดแคฟโฟอิลควินิกด้วยวิธีโครมาโทรกราฟีสมรรถนะสูง ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธีการจับอนุมูลอิสระDPPH และเตรียมสารสกัดใบติ้วในระบบนำส่งตัวพาไขมันแข็งขนาดนาโนโดยวิธีหลอมด้วยความร้อนโดยออกแบบการทดลองด้วยวิธีการตอบสนองพื้นผิวชนิดออกแบบส่วนประสมกลาง 24 แฟคทอเรียล ซึ่งประกอบด้วยคอมพริทอล 888 เอทีโอ และกลีเซอริลโมโนสเตียเรต (1:1), เลกซอล จีที 865, ทวีน 80 และลูทรอล เอฟ 68 (1:1) และสารสกัดใบติ้ว ผลการศึกษาวิจัย: สารสกัดใบติ้วมีค่าความเข้มข้นในการยับยั้งอนุมูลอิสระDPPHที่ร้อยละ 50 เท่ากับ 26.49±1.27 µg/mL มีปริมาณกรดแคฟโฟอิลควินิก 41.66±0.07  mg/g สภาวะที่เหมาะสมสำหรับเตรียมสารสกัดใบติ้วในระบบนำส่งตัวพาไขมันแข็งขนาดนาโน คือ คอมพริทอล 888 เอทีโอ และกลีเซอริลโมโนสเตียเรต, เลกซอล จีที 865, ทวีน 80 และลูทรอล เอฟ 68 และสารสกัดใบติ้ว มีร้อยละต่อน้ำหนักเท่ากับ 5.77 45,, 3.3, 2 ตามลำดับ โดยมีค่าขนาดอนุภาคเท่ากับ3.21±125.67nm, ค่าการกระจายอนุภาคเท่ากับ0.158±0.011  ศักย์ไฟฟ้าที่ผิวอนุภาคเท่ากับ -±11.200.40 mV และร้อยละการกักเก็บสารฟีนอลิกเท่ากับ57.58±3.14 ค่าที่ได้จากการ ทดลองสอดคล้องกับค่าที่ทำนายด้วยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ การกักเก็บสารสกัดใบติ้วลงในตำรับช่วยควบคุมการปลดปล่อยสารและเพิ่มการซึมผ่านของสารเครื่องหมายลงในผิวหนังได้ สรุปผลการวิจัย: การกักเก็บสารสกัดใบติ้วในระบบนำส่งตัวพาไขมันแข็งขนาดนาโน จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการนำส่งสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อใช้เป็นสารออกฤทธิ์ในเครื่องสำอางต่อไป

Article Details

ประเภทบทความ
Research Articles

เอกสารอ้างอิง

Arion WJ, Canfield WK, Ramos FC, Schindler PW, Burger HJ, et al. 1997. Chlorogenic acid and hydroxynitrobenzalcenyde: new inhibitors of hepatic glucose 6-phosphatase. Archieves of Biochemistry and Biophysics 339: 315-322.

Bassoli BK, Cassolla p, Borba-Murad GR, Constantin J, Salgueiro-Pagadigorria CL, et al. 2008. Chlorogenic acid reduces the plasma glucose peak in the oral glucose tolerance test: Effects on hepatic glucose release and glycaemia. Cell Biochemistry and Function 26: 320-328. Clifford MN. 2000.

Chlorogenic acids and other cinnamates-nature, occurrence, dietary burden, absorption and metabolism. Journal of the Science of Food and Agriculture 80: 1033-1043.

Sripanidkulchai K., Teepsawang S., and Sripanidkulchai B. 2010. Journal of Medicinal Food. 13(5): 1097-1103.

Kukongviriyapan U, Luangaram S, Leekhaosoong K, Kukongviriyapan Preeprame S. 2007. Antioxidant and vascular protective activities of Cratoxylum formosum.Syzygium gratum and Limnophila aromatica. Biological and Pharmaceutical Bulletin 30: 611-666.

Maisuthisakul p, Pongsawatmanit R. Gordon MH. 2007. Characterization of the phytochemical and antioxidant properties of extracts from Teaw (Cratoxylum formosum Dyer). Food Chemistry 100: 1620-228.

McCarty MF. 2005. A chlorogenic acid-induced increase in GLP-1 production may mediate the impact of heavy coffee consumption on diabetes risk. Medical Hypotheses 64: 848-853.

Venugaranti VV, Perumal OP, Chapter 9. Nanosystems for Dermal and Transdermal Drug Delivery, in: Pathak Y, Thassu D. Drug Delivery Nanoparticles Formulation and Characterization. New York: Informa Healthcare USA, Inc., .55-2009:126