การสร้างแบบจำลองทางเภสัชจลนศาสตร์เพื่อทำนายผลระดับยาในเลือดของยาฟีนัยโตอิน โดยใช้โปรแกรม STELLATM
Main Article Content
บทคัดย่อ
ฟีนัยโตอินเป็นยาหลักในการรักษา partial seizure และ generalized tonic – clonic seizure เนื่องจากยามีช่วงการรักษาแคบ มีเภสัชจลนศาสตร์เป็นแบบไม่เป็นเส้นตรง (nonlinear pharmacokinetic) และมีความผันแปรระหว่างบุคคลสูง จึงมีการตรวจวัดระดับยาในเลือดเพื่อให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย อย่างไรก็ตาม การตรวจวัดระดับยาในเลือดมีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลารอผลนาน นอกจากนี้การคำนวณเพื่อการทำนายระดับยาในเลือดอาจก่อให้เกิดความผิดพลาดได้ การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบจำลองทางเภสัชจลนศาสตร์ของยาฟีนัยโตอินด้วยโปรแกรม STELLATM เพื่อใช้ในการทำนายระดับยาฟีนัยโตอินในเลือด
การวิจัยนี้เก็บข้อมูลแบบย้อนหลัง (retrospective) ในผู้ป่วยโรคลมชักที่ได้รับยาฟีนัยโตอินรูปแบบ sustained – release capsule ที่มีข้อมูลระดับยาในเลือดจากเวชระเบียนและฐานข้อมูลของโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2559 จากนั้นนำมาสร้างแบบจำลองทางเภสัชจลนศาสตร์ของยาฟีนัยโตอิน ด้วยโปรแกรม STELLATM โดยใช้แบบจำลองแบบ one compartment model เพื่อทำนายค่า maximum initial velocity (Vmax) ของผู้ป่วย การตรวจสอบความถูกต้องของแบบจำลองพิจารณาจากค่า root mean square error (RMSE) ที่ได้จากแบบจำลองเปรียบเทียบกับวิธี orbit graph โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงเส้นอย่างง่าย (simple linear regression analysis) นอกจากนี้ใช้โปรแกรม STELLATM ทำการสุ่มแบบแจกแจงปกติ (normal distribution) เพื่อหาช่วงค่าระดับยาในเลือดที่ขนาดยา 200 และ 300 mg โดยใช้ค่าเฉลี่ยและความแปรปรวนของ Vmax และน้ำหนักตัวของผู้ป่วย และดูผลของยาวัลโปรอิกแอซิดในผู้ป่วยที่ได้รับยาฟีนัยโตอินร่วมกับวัลโปรอิกแอซิดต่อค่า Michaelis-Men-ten. constant (Km1) ของฟีนัยโตอินจากผลการศึกษาพบว่าค่า RMSE ของระดับยาที่ทำนายจาก orbit graph และแบบจำลอง มีค่า 7.65 และ 7.77 ตามลำดับ ดังนั้นการทำนายระดับยาในเลือดโดยใช้ orbit graph มีค่าใกล้เคียงกับการใช้แบบจำลองทางเภสัชจลนศาสตร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแบบจำลองที่สร้างขึ้นสามารถทำนายระดับยาในเลือดได้ และนอกจากนี้ช่วงค่าระดับยาในเลือดที่ขนาดยา 200 และ 300 mg มีค่าอยู่ในช่วง 1.53 – 4.947 และ 3.00 – 19.450 µg/ml ตามลำดับ ผู้ป่วยที่ได้รับฟีนัยโตอินร่วมกับวัลโปรอิกแอซิด แสดงให้เห็นถึงผลของยาวัลโปรอิกแอซิดที่ทำให้ความชอบจับของฟีนัยโตอินกับเอนไซม์ที่ใช้ในการกำจัดยาลดลง ค่า Km1 จึงมีค่ามากขึ้น
Article Details
กรณีที่ใช้บางส่วนจากผลงานของผู้อื่น ผู้นิพนธ์ต้อง ยืนยันว่าได้รับการอนุญาต (permission) ให้ใช้ผลงานบางส่วนจากผู้นิพนธ์ต้นฉบับ (Original author) เรียบร้อยแล้ว และต้องแนบเอกสารหลักฐาน ว่าได้รับการอนุญาต (permission) ประกอบมาด้วย
เอกสารอ้างอิง
American Society of Health – System Pharmacists. AHFS Drug Information. Bethesda: American Society of Health – System Pharmacists,Inc.; 2009.
Kanjanasilp J, Preechagoon Y, Kaewvichit and Richards RME. Population Pharmacokinetics of Phenytoin in Thai Epileptic Patients. CMU. Journal. 2005;4(3): 287 – 297.
Nakariyakul K. Reason and Physician's Response of Therapeutic Antiepileptic Drugs Monitoring in Ambulatory Care Service. Thai Journal of Hospital Pharmacy. 2009;19:S 18 – 25.
Pacharavanich N, Sripa S, Sitthikraipong N, Duangpila P, and PanduangP. Therapeutic Drug Monitoring: The Need, Obstacles and Problem on setting up the Service in view of Hospital Administrators, Physicians and Pharmacists in the North East. Journal of UbonRajathanee University. 2004;2: 77-92.
Paschoa O.E.D, Voskuyl R.A., and Danhof M. Modelling of the pharmacodynamic interaction between phenytoin and sodium valproate. British Journal of Pharmacology. 1998;125: 1610 – 1616.
Pirovano A, Huijbregts M A.J., Ragas A M.J., and Hendriks. Compound Lipophilicity as a Descriptor to Predict Binding Affinity (1/Km) in Mammals. Environmental Science & Technology. 2012;46: 5168 – 5174.
Suwanmanee J.PharmacokineticParametersofValproic acidMonotherapyinPediatric Patientswith Epilepsy: EstimationfromTotal, and UnboundSerum Concentrations. 2002.
Vozeh S, Muir KT, Sheiner LB, and Follath F. Predicting Individual Phenytoin Dosage. Journal of Pharmacokinetics and Biopharmaceutics. 1981;9(2): 131 – 146.