ผลของการออกกำลังกายโดยใช้แรงต้านแบบเกร็งค้างด้วยมือต่อความดันโลหิตในผู้สูงอายุที่มีภาวะความดันโลหิตสูงระดับที่ 1

พันธิภา  ท้วมไทย; ทัศเนตร  พุทธรักษา; ณัฐสุดา  แสงบุญ; สุณี  สุวรรณพสุ

ผู้แต่ง

พันธิภา ท้วมไทย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
ทัศเนตร พุทธรักษา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
ณัฐสุดา แสงบุญ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
สุณี สุวรรณพสุ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

คำสำคัญ:

การออกกำลังกายโดยใช้แรงต้านแบบเกร็งค้างด้วยมือ, ผู้สูงอายุ, ความดันโลหิตสูงระดับ 1

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความดันโลหิตในผู้ป่วยสูงอายุที่มีความดันโลหิตสูงระดับที่ 1 ระหว่างกลุ่มออกกำลังกายโดยใช้แรงต้านแบบเกร็งค้างมือที่ความหนักร้อยละ 30 ของความสามารถสูงสุดของแรงบีบมือ (maximum voluntary contraction: MVC) กับกลุ่มใช้แรงต้านแบบเกร็งค้างมือด้วยลูกบอลยาง ตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงระดับที่ 1 ที่มารับบริการหน่วยบริการผู้ป่วยนอก ตึก ภปร. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จำนวน 105 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม เป็นกลุ่มทดลอง 2 กลุ่ม และกลุ่มควบคุม 1 กลุ่ม กลุ่มทดลองกลุ่มแรกเกร็งกล้ามเนื้อเป็นเวลา 2 นาที แล้วพัก 1 นาที ทำซ้ำ 4 ครั้งต่อครั้ง วันละ 2 ครั้ง สัปดาห์ละ 3 วัน กลุ่มทดลองกลุ่มที่สองเกร็งกล้ามเนื้อเป็นเวลา 1 นาที แล้วพัก 1 นาที ทำซ้ำ 4 ครั้งต่อครั้ง วันละ 2 ครั้ง สัปดาห์ละ 5 วัน ส่วนกลุ่มควบคุมมารับบริการตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบวัดความสามารถสูงสุดของแรงบีบมือ และสมุดบันทึกค่าความดันโลหิตประจำวันที่วัดได้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ One sample t-test และ ANCOVA

ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองที่ 1 มีค่าเฉลี่ยความดันซิสโตลิกหลังการทดลองลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อย่างไรก็ตาม ค่าเฉลี่ยความดันไดแอสโตลิกหลังการทดลองลดลงจากก่อนการทดลองเพียงเล็กน้อย และไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p > .05) กลุ่มทดลองที่ 2 มีค่าเฉลี่ยความดันซิสโตลิกและความดันไดแอสโตลิกหลังการทดลองลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เช่นเดียวกันกับ กลุ่มควบคุมมีค่าเฉลี่ยความดันซิสโตลิกและความดันไดแอสโตลิกหลังการทดลองลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งผลจากการควบคุมอิทธิพลของเพศกับค่าเฉลี่ยความดันโลหิตใน 3 กลุ่มที่ศึกษา พบว่า เพศมีอิทธิพลต่อค่าเฉลี่ยความดันซิสโตลิกที่ลดลงระหว่างกลุ่มทดลองทั้ง 2 กลุ่ม กับกลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แต่เพศไม่มีอิทธิพลต่อค่าเฉลี่ยความดันไดแอสโตลิก (p > .05)

ดังนั้น การออกกำลังกายโดยใช้ อุปกรณ์ออกกำลังกายบีบ - คลายมือ (MANUGRIP) ที่น้ำหนักร้อยละ 30 ของ MVC เป็นเวลา 8 สัปดาห์ สามารถช่วยลดระดับความดันซิสโตลิกในผู้ป่วยสูงอายุความดันโลหิตสูงระดับ 1 ได้

Downloads

Download data is not yet available.

เอกสารอ้างอิง

Almeida, J. P. A. D. S., Bessa, M., Lopes, L. T. P., Gonçalves, A., Roever, L., & Zanetti, H. R. (2021). Isometric handgrip exercise training reduces resting systolic blood pressure but does not interfere with diastolic blood pressure and heart rate variability in hypertensive subjects: A systematic review and meta-analysis of randomized clinical trials. Hypertension Research, 45(5), 1205-1212.

Carlson, D. J., Dieberg, G., Hess, N. C., Millar, P. J., & Smart, N. A. (2014). Isometric exercise training for blood pressure management: A systematic review and meta-analysis. Mayo Clinic Proceedings, 89(3), 327-334.

Department of Disease Control Ministry of Public Health. (2021). NCD annual report 2021. Retrieved from https://ddc.moph.go.th/dncd/journal_detail.php?publish=12470

Foundation of the Thai Elderly Research and Development Institute (TERIDI). (2021). Situation of the Thai elderly 2020. Nakhon Pathom: Institute for Population and Social Research, Mahidol University.

Garatachea, N., García-López, D., Bernal, A., Almar, M., & Gonzalez-Gallego, J. (2012). Oxidative stress response to isometric exercise in women: Effect of age and exercise intensity. International Sportmed Journal, 13(3), 85-95.

Kamiya, A., Iwase, S., Michikamia, D., Fua, Q., & Mano, T. (2000). Muscle sympathetic nerve activity during handgrip and post-handgrip muscle ischemia after exposure to simulated microgravity in humans. Neuroscience Letters, 280(1), 49-52.

Loaiza-Betancur, A. F., & Chulvi-Medrano, I. (2020). Is low-intensity isometric handgrip exercises an efficient alternative in lifestyle blood pressure management? A systematic review. Sports Health, 12(5), 470-477.

McGowan, C. L., Levy, A. S., Millar, P. J., Guzman, J. C., Morillo, C. A., McCartney, N., & MacDonald, M. J. (2006). Acute vascular responses to isometric handgrip exercise and effects of training in persons medicated for hypertension. American Journal of Physiology-Heart and Circulatory Physiology, 291(4), H1797-H1802.

Oliveira, P. C., Silva, M. R., Lehnen, A. M., & Waclawovsky, G. (2023). Isometric handgrip training, but not a single session, reduces blood pressure in individuals with hypertension: A systematic review and meta-analysis. Journal of Human Hypertension, 37(9), 844-853. https://doi.org/10.1038/s41371-022-00778-7

Punia, S., & Kulandaivelan, S. (2020). Home-based isometric handgrip training on RBP in hypertensive adults-partial preliminary findings from RCT. Physiotherapy Research International, 25(1), e1806. https://doi.org/10.1002/pri.1806

Smart, N. A., Way, D., Carlson, D., Millar, P., McGowan, C., Swaine, I., . . . Bleile, B. (2019). Effects of isometric resistance training on resting blood pressure: Individual participant data meta-analysis. Journal of Hypertension, 37(10), 1927-1938.

Souza, L. R., Vicente, J. B., Melo, G. R., Moraes, V. C., Olher, R. R., Sousa, I. C., . . . Moraes, M. R. (2018). Acute hypotension after moderate-intensity handgrip exercise in hypertensive elderly people. The Journal of Strength and Conditioning Research, 32(10), 2971-2977.

Worachet, S., & Nakmareong, S. (2017). Effect of isometric handgrip exercise on blood pressure in pre-hypertensive women. Journal of Associated Medical Sciences, 50(2), 197-207.