ผลของโปรแกรมการดูแลแบบองค์รวมต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองและความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของผู้ป่วยจิตเภท

ผู้แต่ง

  • ยุพาพรรณ์ มาหา มหาบัณฑิต คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
  • ดวงใจ วัฒนสินธุ์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
  • ชนัดดา แนบเกษร คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

คำสำคัญ:

พฤติกรรมการดูแลตนเอง, ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง, การดูแลแบบองค์รวม, ผู้ป่วยจิตเภท

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการดูแลแบบองค์รวมต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองและความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของผู้ป่วยจิตเภท กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยจิตเภทที่ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี จำนวน 24 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 12 คน เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการดูแลแบบองค์รวม แบบประเมินอาการทางจิต แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเอง มีค่าความเชื่อมั่น .81 และแบบประเมินความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง มีค่าความเชื่อมั่น .83 ดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงเดือนธันวาคม 2559 ถึงเดือนมีนาคม 2560 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน independent t-test และ two-way repeated measures ANOVA โดยทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธี Bonferroni

ผลการวิจัยพบว่า 1) ระยะหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และระยะติดตามผล 1 เดือน กลุ่มทดลองมี คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลตนเอง และคะแนนเฉลี่ยความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) และ 2) ระยะหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และระยะติดตามผล 1 เดือน กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลตนเอง และคะแนนเฉลี่ยความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง สูงกว่าระยะก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001)

จากการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่า บุคลากรทางสุขภาพควรนำโปรแกรมการดูแลแบบองค์รวมไปประยุกต์ใช้ เพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมการดูแลตนเองและความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของผู้ป่วยจิตเวชหรือผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่นๆ

เอกสารอ้างอิง

กรมสุขภาพจิต. (2559). สถิติผู้ป่วยที่มารับบริการโรงพยาบาลสังกัดกรมสุขภาพจิต. นนทบุรี: ผู้แต่ง.

กลุ่มงานจิตเวช โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี. (2559). รายงานผลการปฏิบัติงาน ประจำปี 2559. ปราจีนบุรี: ผู้แต่ง.

เนตดา วงศ์ทองมานะ. (2551). ผลของโปรแกรมจิตสังคมบำบัดต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยจิตเภท (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ปริวัตร ไชยน้อย. (2546). พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ที่เป็นโรคจิตเภทที่กลับมารักษาซ้ำในโรงพยาบาล (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

ผ่องศรี ศรีมรกต. (2536). ผลของการให้คำปรึกษาแบบประคับประคองต่อการรับรู้ภาวะความเจ็บปวด ระดับความรู้สึกมีคุณค่าแห่งตน และขวัญกำลังใจในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกที่ได้รับรังสี (ปริญญานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหิดล.

พรดุสิต คำมีสีนนท์. (2550). การฟื้นฟูสมรรถภาพทางจิตเวชในผู้ป่วยจิตเภทเรื้อรัง (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

พันธุ์นภา กิตติรัตนไพบูลย์. (2540). ตราบาปและโรคทางจิตเวช. วารสารสวนปรุง, 13(1), 17-33.

ภุมมาภิชาติ แสงเขียว. (2542). การรับรู้การปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวและการปรับตัวของผู้ป่วยจิตเภท (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

มยุรี กลับวงษ์. (2552). การสร้างแบบประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยจิตเภท (ปริญญานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

มาโนช หล่อตระกูล, และปราโมทย์ สุคนิชย์. (บ.ก.). (2558). จิตเวชศาสตร์ รามาธิบดี (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.

ระพีพร แก้วคอนไทย. (2551). การสอนทักษะการดูแลตนเองในผู้ป่วยจิตเภท (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

วริศรา ใจคำปัน. (2550). ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจแบบกลุ่มต่อการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเภทที่มารับบริการที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสวนปรุง จังหวัดเชียงใหม่ (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

ศิริพร ทองบ่อ, อรพิน ยอดกลาง, สายทิพย์ สุทธิรักษา, อัจฉรา มุ่งพานิช, ไพลิน โพธิ์สุวรรณ์, ยุภาพร ยุระยาตร์, … รุจิรา จงสกุล. (2542). ประสบการณ์ชีวิตของผู้ป่วยจิตเภท. ใน เอกสารการประชุมวิชาการสุขภาพจิตนานาชาติ ครั้งที่ 5 (น. 212). โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์.

สมภพ เรืองตระกูล. (2545). ตำราจิตเวชศาสตร์ (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการพิมพ์.

สุนันทา นวลเจริญ. (2553). ผลของโปรแกรมการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อความสามารถในการดูแลบุคคลที่พึ่งพาของผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเภท (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

อนงค์ ธรรมโรจน์. (2542). การใช้รูปแบบการฟื้นฟูสมรรถภาพตามสภาพปัญหาและความต้องการของผู้ป่วยจิตเวช โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ (รายงานผลการวิจัย). อุบลราชธานี: โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์.

อุรา ทิพย์ประจักษ์. (2547). พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ที่เป็นโรคจิตเภทที่จำหน่ายจากศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพห้วยดินดำ โรงพยาบาลสวนปรุง (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

เอื้อญาติ ชูชื่น, สุกิตา วิรุณ, และวิมล นุชสวาท. (2557). ผลของโปรแกรมกลุ่มบำบัดต่อความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของผู้ป่วยจิตเวชเรื้อรัง. วารสารการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต, 28(3), 13-25.

Baker, C. (1995). The development of the self-care ability to detect early signs of relapse among individuals who have schizophrenia. Archives of Psychiatric Nursing, 9(5), 261-268.

Chou, K. R., Liu, S. Y., & Chu, H. (2002). The effects of support groups on caregivers of patients with schizophrenia. International Journal of Nursing Studies, 39(7), 713-722.

Corring, D. J., & Cook, J. V. (2007). Use of qualitative methods to explore the quality-of-life construct from a consumer perspective. Psychiatric Services, 58(2), 240-244.

Dickerson, F. B., Parente, F., & Ringel, N. (2000). The relationship among three measures of social functioning in outpatients with schizophrenia. Journal of Clinical Psychology, 56(12), 1509-1519.

Draine, J. (1997). The image of madness: Attitude toward psychiatry, psychiatrist and psychiatric treatment. London: Karger.

Kennedy, M. G., Schepp, K. G., & O’Connor, F. W. (2000). Symptom self-management and relapse in schizophrenia. Archives of Psychiatric Nursing, 14(6), 266-275.

Knapp, M., Mangalore, R., & Simon, J. (2004). The global costs of schizophrenia. Schizophrenia Bulletin, 30(2), 279-293.

Lindstrom, E., & Bingefors, K. (2000). Patient compliance with drug therapy in schizophrenia. Economic and clinical issues. PharmacoEconomics, 18(2), 106-124.

Muhlenkamp, A. F., & Sayles, J. A. (1986). Self-esteem, social support and positive health practices. Nursing Research, 35(6), 334-338.

Orem, D. E. (1995). Nursing: Concept of practice (5th ed.). St. Louis: Mosby-Year Book.

Polit, D. F., & Hungler, B. P. (1999). Nursing research: Principles and methods (6th ed.). Philadelphia: J. B. Lippincott.

Sadock, B. J., & Sadock, V. A. (2000). Comprehensive textbook of psychiatry (7th ed.). Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins.

World Health Organization. (2006). The ICD-10 classification of mental and behavioral disorders: Clinical descriptions and diagnostic guidelines. Geneva: Author.

Ziedonis, D., Yanos, P. T., & Silverstein, S. M. (2007). Relapse prevention for schizophrenia. In K. A. Witkiewitz & G. A. Marlatt (Eds.), Therapist’s guide to evidence-based relapse prevention (pp. 117-140). Burlington, MA: Elsevier.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2019-06-29

รูปแบบการอ้างอิง

มาหา ย., วัฒนสินธุ์ ด., & แนบเกษร ช. (2019). ผลของโปรแกรมการดูแลแบบองค์รวมต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองและความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของผู้ป่วยจิตเภท. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี, 30(2), 37–50. สืบค้น จาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pnc/article/view/186075

ฉบับ

ประเภทบทความ

รายงานการวิจัย (Research Report)