ผลของการประคบเย็นด้วยแผ่นเจลโพลิเมอร์ ต่อความเจ็บปวดแผลฝีเย็บหลังคลอด

ผู้แต่ง

  • นริชชญา หาดแก้ว คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • ปราณี ธีรโสภณ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

คำสำคัญ:

ความเจ็บปวดแผลฝีเย็บ, การประคบเย็น, แผ่นเจลโพลิเมอร์

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยทางคลินิก เพื่อศึกษาผลของการประคบเย็นด้วยแผ่นเจลโพลิเมอร์ ต่อความเจ็บปวดแผลฝีเย็บหลังคลอด กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาหลังคลอดปกติที่มีแผลฝีเย็บจากการตัดแบบเฉียงระดับที่ 2 โรงพยาบาลบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 44 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 22 คน กลุ่มทดลองได้รับการประคบเย็นบริเวณแผลฝีเย็บด้วยแผ่นเจลโพลิเมอร์ ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการประคบหลอกบริเวณแผลฝีเย็บด้วยแผ่นเจลโพลิเมอร์ที่ไม่แช่เย็น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแผ่นเจลโพลิเมอร์ คู่มือการประคบเย็นด้วยแผ่นเจลโพลิเมอร์ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปของมารดาหลังคลอด และแบบประเมินความเจ็บปวดแผลฝีเย็บที่มีค่าความเชื่อมั่น .86 ประเมินความเจ็บปวดแผลฝีเย็บ 5 ครั้ง ได้แก่ ก่อนการประคบ หลังการประคบทันที หลังการประคบ 30 นาที, 1 ชั่วโมง และ 2 ชั่วโมง ตามลำดับ ดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงเดือนตุลาคม 2557 ถึงเดือนมกราคม 2558 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน paired t-test และ independent t-test

ผลการวิจัยมีดังนี้

1. กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความเจ็บปวดแผลฝีเย็บหลังการประคบทันที หลังการประคบ 30 นาที, 1 ชั่วโมง และ 2 ชั่วโมง ตามลำดับ น้อยกว่าก่อนการประคบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 7.492, p < .001; t = 5.159, p < .001; t = 4.365, p < .001 และ t = 5.159, p < .001 ตามลำดับ)

2. หลังการประคบทันที หลังการประคบ 30 นาที, 1 ชั่วโมง และ 2 ชั่วโมง ตามลำดับ กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความเจ็บปวดแผลฝีเย็บน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 3.200, p < .01; t = 2.317, p < .05; t = 1.806, p < .05 และ t = 2.304, p < .05 ตามลำดับ)

จากการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่าควรนำการประคบเย็นด้วยแผ่นเจลโพลิเมอร์มาใช้ในการบรรเทาความเจ็บปวดแผลฝีเย็บในมารดาหลังคลอดต่อไป

เอกสารอ้างอิง

งานห้องคลอด โรงพยาบาลบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์. (2556). สถิติผู้คลอดที่ได้รับการตัดฝีเย็บ พ.ศ. 2554-2556.

ชูศรี พิศลยบุตร, และพงษ์ธารา วิจิตรเวชไพศาล. (บ.ก.). (2543). วิสัญญีวิทยาทางสูติกรรม. กรุงเทพฯ: พี เอ ลีฟวิ่ง.

ธนวัลย์ เตชทรัพย์อมร. (บ.ก.). (2540). การรักษาด้วยความร้อน เย็น แสง เสียง 1. เชียงใหม่: ภาควิชากายภาพบำบัด คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

เนาวรัตน์ แกว่นกสิการณ์. (2551). ผลของการนวดฝีเย็บต่อการบาดเจ็บของฝีเย็บในการคลอดปกติ (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

พงศ์ภารดี เจาฑะเกษตริน, และคณะ. (2547). ความปวด. กรุงเทพฯ: เมดิมีเดีย (ประเทศไทย).

ภัสรา หากุหลาบ, และนันทวรรณ ธนาโนวรรณ. (2552). อุปสรรคของการเริ่มให้ลูกดูดนมแม่ครั้งแรกในห้องคลอด. วารสารการพยาบาล, 24(2), 14-23.

ศศิกานต์ นิมมานรัชต์. (2553). ความปวดและการระงับปวดในเวชปฏิบัติ. สงขลา: ชานเมืองการพิมพ์.

สมาคมการศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทย. (2552). แนวทางพัฒนาการระงับปวดเฉียบพลัน (Clinical guidance for acute pain management). กรุงเทพฯ: ผู้แต่ง.

สุภา ศรีวสุกาญจน์, ทัศนีย์ พฤกษาชีวะ, และวรพรรณ ผดุงโยธี. (2547). ผลการลดความปวดของแผลฝีเย็บของมารดาครรภ์แรกคลอดปกติระหว่างวิธีแช่แผลฝีเย็บด้วยน้ำอุ่นและน้ำเย็น. รามาธิบดีพยาบาลสาร, 10(3), 184-192.

อารีณา ภานุโสภณ, สุจินตนา พันธ์กล้า, เยาวลักษณ์ เลาหะจินดา, และสมาน ภิรมย์สวัสดิ์. (2541). เปรียบเทียบผลการลดความเจ็บปวดแผลฝีเย็บภายหลังคลอดระหว่างวิธีประคบด้วยความเย็นและประคบด้วยความร้อน. รามาธิบดีเวชสาร, 14(2), 132-135.

Albers, L. L., & Borders, N. (2007). Minimizing genital tract trauma and related pain following spontaneous vaginal birth. Journal of Midwifery & Women’s Health, 52(3), 246-253.

Aytan, H., Tok, E. C., Ertunc, D., Yasa, O. (2014). The effect of episiotomy on pelvic organ prolapse assessed by pelvic organ prolapse quantification system. European Journal of Obstetrics & Gynecology and Reproductive Biology, 173, 34-37.

Cunningham, F. G., et al. (2010). Williams obstetrics (23nd ed.). New York: McGraw-Hill.

D’Arcy, Y. M. (2007). Pain management: Evidence-based tools and techniques for nursing professionals. Marblehead, MA: HCPro.

East, C. E., Sherburn, M., Nagle, C., Said, J., & Forster, D. (2012). Perineal pain following childbirth: Prevalence, effects on postnatal recovery and analgesia usage. Midwifery, 28(1), 93-97.

Fernando, R. J. (2007). Risk factors and management of obstetric perineal injury. Obstetrics, Gynaecology and Reproductive Medicine, 17(8), 238-243.

Lam, K. W., Wong, H. S., & Pun, T. C. (2006). The practice of episiotomy in public hospitals in Hong Kong. Hong Kong Medicine Journal, 12(2), 94-98.

Leventhal, L. C., de Oliveira, S. M. J. V., Nobre, M. R. C., & da Silva, F. M. B. (2011). Perineal analgesia with an ice pack after spontaneous vaginal birth: A randomized controlled trial. Journal of Midwifery & Women’s Health, 56(2), 141-146.

Macarthur, A. J., & Macarthur, C. (2004). Incidence, severity, and determinants of perineal pain after vaginal delivery: A prospective cohort study. American Journal of Obstetrics and Gynecology, 191(4), 1199-1204.

Melzack, R., & Wall, P. D. (1965). Pain mechanisms: A new theory. Science, 150(3699), 971-979.

Oliveira, S. M. J. V., Silva, F. M. B., Riesco, M. L. G., Latorre, Mdo. R., & Nobre, M. R. C. (2012). Comparison of application times for ice packs used to relieve perineal pain after normal birth: A randomised clinical trial. Journal of Clinical Nursing, 21(23-24), 3382-3391.

Sheikhan, F., Jahdi, F., Khoie, E. M., Alizadeh, N. S., Sheikhan, H., Haghani, H. (2011). Episiotomy discomforts relief using cold gel pads in primiparaus iranian women. Research Journal of Medical Sciences, 5(3), 150-154.

Williams, A., Herron-Marx, S., & Knibb, R. (2007). The prevalence of enduring postnatal perineal morbidity and its relationship to type of birth and birth risk factors. Journal of Clinical Nursing, 16(3), 549-561.

Yusamran, C., Titapant, V., & Kongjeera, A. (2007). Relief perineal pain after perineorrhaphy by cold gel pack pad: A randomized controlled trial. Thai Journal of Nursing Research, 11(2), 87-95.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2018-03-27

รูปแบบการอ้างอิง

หาดแก้ว น., & ธีรโสภณ ป. (2018). ผลของการประคบเย็นด้วยแผ่นเจลโพลิเมอร์ ต่อความเจ็บปวดแผลฝีเย็บหลังคลอด. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี, 26(Suppl. 1), 1–13. สืบค้น จาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pnc/article/view/116903

ฉบับ

ประเภทบทความ

รายงานการวิจัย (Research Report)