การพยาบาลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการควบคุมระดับน้ำตาลและการป้องกันภาวะแทรกซ้อน : กรณีศึกษา 2 ราย
คำสำคัญ:
เบาหวานชนิดที่ 2, การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด, ทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็ม, Mindfulness-Based Brief Intervention, กรณีศึกษาเปรียบเทียบบทคัดย่อ
บทคัดย่อ
ที่มาและความสำคัญ: โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ องค์การอนามัยโลกรายงานว่าในปี พ.ศ. 2565 มีผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลกประมาณ 537 ล้านคน ในประเทศไทยพบความชุกเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.9 ในปี 2557 เป็นร้อยละ 9.5 ในปี 2563 ในบริบทของอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น มีผู้ป่วยเบาหวานในความดูแล 8,160 คน โดยมีเพียงร้อยละ 28.81 ที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ตามเป้าหมาย ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุข
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการควบคุมระดับน้ำตาลและการป้องกันภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยใช้กระบวนการพยาบาลและทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็ม
วิธีการศึกษา: เป็นการศึกษาเปรียบเทียบกรณีศึกษา (Comparative Case Study) ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 2 ราย ที่มีพื้นฐานคล้ายคลึงกันแต่มีผลลัพธ์การรักษาแตกต่างกัน โดยศึกษาย้อนหลังระหว่างตุลาคม 2562 ถึงมีนาคม 2567 ใช้กระบวนการพยาบาลในการประเมิน วินิจฉัย วางแผน ปฏิบัติ และประเมินผล และประยุกต์โปรแกรม Mindfulness-Based Brief Intervention (MBBI) สำหรับผู้ป่วยที่ควบคุมเบาหวานไม่ได้
ผลการศึกษา: กรณีศึกษาที่ 1 (ควบคุมโรคได้ดี) สามารถลดระดับ HbA1c จาก 8.3% เป็น 5.5% ภายใน 3 เดือน และรักษาระดับ 5.0-5.6% ได้อย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่ภาวะ Diabetes Remission ไม่พบภาวะแทรกซ้อน กรณีศึกษาที่ 2 (ควบคุมโรคไม่ได้) มีระดับ HbA1c อยู่ระหว่าง 8.2-14.7% และพบภาวะแทรกซ้อนทางตา ไต และระบบประสาท หลังเข้าร่วมโปรแกรม MBBI ระดับ HbA1c ลดลงจาก 10.4% เป็น 7.5% ภายใน 9 เดือน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จประกอบด้วย ความตระหนักรู้ด้านสุขภาพ ความร่วมมือในการรักษา การสนับสนุนจากครอบครัว ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ
สรุปและข้อเสนอแนะ: การพยาบาลโดยใช้กระบวนการพยาบาลร่วมกับทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็มและโปรแกรม MBBI สามารถส่งเสริมการควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ ควรพัฒนาระบบการดูแลที่คำนึงถึงปัจจัยทางชีวภาพ จิตใจ และสังคม รวมถึงการพัฒนาระบบพี่เลี้ยงผู้ป่วยเบาหวาน การสร้างการมีส่วนร่วมของครอบครัว และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการสนับสนุนการจัดการตนเอง
คำสำคัญ: เบาหวานชนิดที่ 2, การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด, ทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็ม, Mindfulness-Based Brief Intervention, กรณีศึกษาเปรียบเทียบ
เอกสารอ้างอิง
เอกสารอ้างอิง
World Health Organization. Global report on diabetes 2022. Geneva: WHO; 2022.
International Diabetes Federation. IDF Diabetes Atlas. 10th ed. Brussels: IDF; 2021.
กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค. รายงานสถานการณ์โรคไม่ติดต่อเรื้อรังในประเทศไทย 2564. กรุงเทพฯ: กระทรวงสาธารณสุข; 2564.
กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค. แนวทางการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน. กรุงเทพฯ: กระทรวงสาธารณสุข; 2563.
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น. รายงานสถานการณ์โรคเบาหวานในจังหวัดขอนแก่น ปีงบประมาณ 2566. ขอนแก่น: สสจ.ขอนแก่น; 2566.
โรงพยาบาลน้ำพอง. รายงานประจำปี 2566. ขอนแก่น: โรงพยาบาลน้ำพอง; 2566.
ศิริพร สิงห์ทอง, สุภาพร วรรณสันทัด, สุนทรี ภักดีศรี. ผลของโปรแกรมส่งเสริมการจัดการตนเองต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2. วารสารพยาบาลสาธารณสุข 2566;37(2):76-92.
Gregg EW, Chen H, Wagenknecht LE, et al. Association of an intensive lifestyle intervention with remission of type 2 diabetes. JAMA 2012;308(23):2489-96.
Powers MA, Bardsley J, Cypress M, et al. Diabetes self-management education and support in type 2 diabetes: a joint position statement of the American Diabetes Association, the American Association of Diabetes Educators, and the Academy of Nutrition and Dietetics. Diabetes Care 2015;38(7):1372-82.
Pamungkas RA, Chamroonsawasdi K, Vatanasomboon P. A systematic review: family support integrated with diabetes self-management among uncontrolled type II diabetes mellitus patients. Behav Sci 2017;7(3):62.
Wallston KA, Wallston BS, DeVellis R. Development of the Multidimensional Health Locus of Control (MHLC) Scales. Health Educ Monogr 1978;6(2):160-70.
Prochaska JO, Redding CA, Evers KE. The transtheoretical model and stages of change. In: Glanz K, Rimer BK, Viswanath K, editors. Health behavior and health education: theory, research, and practice. 4th ed. San Francisco: Jossey-Bass; 2008. p. 97-121.
Katon WJ, Lin EH, Von Korff M, et al. Collaborative care for patients with depression and chronic illnesses. N Engl J Med 2010;363(27):2611-20.
Wilson FL, Mood DW, Risk J, Kershaw T. Evaluation of education materials using Orem's self-care deficit theory. Nurs Sci Q 2013;16(1):68-76.
Funnell MM, Brown TL, Childs BP, et al. National standards for diabetes self-management education. Diabetes Care 2009;32(Suppl 1)
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลขอนแก่น

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ กลุ่มภารกิจด้านพยาบาล โรงพยาบาลขอนแก่น
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลขอนแก่น หรือบุคลากรในโรงพยาบาลแต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว