การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้สุขภาพเพื่อป้องกันภาวะแขนบวมในผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งเต้านม โรงพยาบาลขอนแก่น
คำสำคัญ:
มะเร็งเต้านม, การผ่าตัด, ความรอบรู้ด้านสุขภาพ, ภาวะแขนบวมบทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา ( Research and Development) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)พัฒนารูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันภาวะแขนบวมในผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งเต้านม 2) ศึกษาผลลัพธ์ทางสุขภาพจากการนำใช้รูปแบบ ได้แก่ พฤติกรรมการป้องกันแขนบวม ระดับการรับรู้ข้อมูลแขนบวม อัตราการเกิดแขนบวม กลุ่มตัวอย่าง คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดและสมัครใจเข้าร่วมการศึกษา จำนวน 30 คน โดยพยาบาลวิชาชีพจำนวน 5 คน ปฏิบัติตามรูปแบบฯที่พัฒนาขึ้น การศึกษา ใช้แนวคิดของ (Borg & Gall,1989) นำมาใช้ 4 ขั้นตอน คือ 1) วิเคราะห์สถานการณ์โดย focus group ทบทวนวรรณกรรม 2)พัฒนารูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้สุขภาพ ตามแนวคิดของ Sorensen และประเมินคุณภาพรูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้สุขภาพ ตามเกณฑ์ AGREE II โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้คุณภาพโดยรวมร้อยละ 95.5 3) ทดลองใช้รูปแบบและประเมินผล 4) ปรับปรุงและสรุปผล เครื่องมือในการศึกษา ประกอบด้วย 1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ 1.1) รูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้สุขภาพเพื่อป้องกันภาวะแขนบวม 1.2) แนวทางการปฏิบัติสำหรับพยาบาลเพื่อป้องกันแขนบวม สื่อการเรียนรู้แผ่นพับ วิดีทัศน์ สมุดประจำตัว สายวัดแบบมาตรฐาน 2) เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 2.1) แบบสอบถามการรับรู้ข้อมูลแขนบวม 2.2) แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันภาวะแขนบวม 2.3) แบบประเมินภาวะแขนบวม 2.4) แบบคัดกรองภาวะแขนบวม วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป ระดับการรับรู้ข้อมูลแขนบวม พฤติกรรมการป้องกันภาวะแขนบวม และอัตราการเกิดแขนบวม โดยใช้สถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบการรับรู้ข้อมูลแขนบวม พฤติกรรมการป้องกันภาวะแขนบวม โดยใช้สถิติ Independent Sample T-test
ผลการศึกษา พบว่า 1) ได้รูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันภาวะแขนบวมในผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งเต้านม ประกอบด้วย แนวทางการปฏิบัติสำหรับพยาบาล แผ่นพับแขนบวม วิดีทัศน์ สมุดประจำตัว 2) ผลลัพธ์ทางสุขภาพ จากการพัฒนารูปแบบฯ ระดับการรับรู้ข้อมูลแขนบวมหลังการใช้รูปแบบเฉลี่ย เท่ากับ 14.43 สูงกว่า ก่อนใช้รูปแบบ เท่ากับ 7.00 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.05) พฤติกรรมการป้องกันแขนบวมหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบ โดยแยกคะแนนพฤติกรรมการป้องกันภาวะแขนบวมรายด้าน พบว่า ด้านการป้องกันการติดเชื้อ การป้องกันการได้รับบาดเจ็บของผิวหนัง การหลีกเลี่ยงสัมผัสความร้อน/เย็น การส่งเสริมการไหลเวียนของน้ำเหลือง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.05) และมีอัตราการเกิดแขนบวม ร้อยละ 1.19 จึงควรนำรูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้สุขภาพในผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งเต้านมไปใช้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันภาวะแขนบวม
เอกสารอ้างอิง
Prakobchit S, Glangkarn S. (2021). The effectiveness of health literacy development program in the first-degree relatives of breast cancer patients on breast cancer – preventive behaviors. Srinagarind Medical Journal ; 36(1): 82-90. (In Thai)
Boonchawee P, and Nunthaitaweekul P. (2024). The effect of health literacy enhancement program on stroke preventive behaviors among stroke patients on recovery stage. Thai Journal of Nursing; 73(2):51-60. (In Thai)
Chumdaeng S, Sukcharoen P. (2021). Effectiveness of a Health Literacy Promotion Program for breast cancer patients using complementary and alternative medicine. Thai Journal of Public Health; 51(2): 206-213. (In Thai)
Wanchai A, Armer JM, Stewart BR,Lasinski BB. (2016). Breast cancer-related lymphedema: A literature review for clinical practice. International Journal of Nursing Sciences; 3(2): 202-7.
Tachavijitjaru C. (2018). Health Literacy: A key Indicator towards Good Health Behavior and Health Outcomes. Journal of the Royal Thai Army Nurses ; 19: 1-11. (In Thai)
Judpashjam T, Harnirattisai T, and Prasert W. (2021).The Factors Associated with Breast Cancer –Related Lymphedema Following breast surgery with Lymph node dissection. Journal of Nursing Science Chulalongkorn University ;33(3): 28-40 (In Thai)
Sorensen, K., Van den Broucke, S., Fullam, J., Doyle, G., Pelikan, J., Slonska, Z, Brand, H., & (HLS-EU) Consortium Health Literacy Project European. (2012). Health literacy and public health: A systematic review and integration of definitions and models. BMC Public Health, 12(80), 1-13. https://doi.org/10.1186/1471-2458-12-80
International Society of Lymphology. (2013). The diagnosis and treatment of peripheral lymphedema. Lymphology, 36, 84-91.
National Cancer Institute. (2019). National cancer institute strategic plan 2019-2022.Retrieved from https:// www.nci.go.th/th/today/download/Pdf
Kaspad M, Kanongsunthornrat N. (2017). Prevention and Management of Arm Lymphedema in Breast Cancer Survivors: Nurse’s Roles. Rama Nursing Journal; 23(1): 1-10. (In Thai)
AGREE Next Steps Consortium (2017). The AGREE II Instrument [Electronic version]. [2023 June 26].
Available from: http://www.agreetrust.org.
McEvoy MP, Gomberawalla A, Smith M, Boccardo FM, Holmes D, Djohan R, Thiruchelvam P, Klimberg S, Dietz J and Feldman S. (2022). The prevention and treatment of breast cancer- related lymphedema: A review. Frontiers in Oncology.12:1062472. Doi: 10.3389/fonc.2022.1062472
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลขอนแก่น

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ กลุ่มภารกิจด้านพยาบาล โรงพยาบาลขอนแก่น
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลขอนแก่น หรือบุคลากรในโรงพยาบาลแต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว