Development of Self-Care Agency to Prevent Complications of Type 1 Diabetes adolescent Patient: Case Study
Main Article Content
Abstract
The nursing care for two teenage patients with type 1 diabetes was studied. The objective of this study was to investigate the guidelines to develop self-care ability among teenage patients with type 1 diabetes treated at Department of Pediatrics in order to prevent complications based on Self-Care Deficit Theory (Orem & Taylor, 1986) so that nurses can achieve clear goals and methods of caring for patients and their family.
The results of this study indicated that both teenage patients have encountered the common nursing issues, namely: insufficient knowledge and understanding of insulin injection, eating, exercise and the possibility to continuously lower their effort of self-care due to lack of morale and confidence in nursing, including support, encouragement, education about diabetes, training of self-care skills in insulin injection, calculation of daily intake of nutrients, proper exercise, observation of potential changing symptoms, using tools to track one’s own changes, and ability of initial self-assistance.
Therefore, nursing to improve the self-care ability of teenage patients should be promoted as early as they can. Teenage patients should get the opportunity to participate in self-care by working with their caregivers through providing support and encouragement until they can perform self-care completely with no complications.
Article Details
References
นิพาวรรณ ไวศยะนันท์ และเบญจมาศ สุขสถิต. (2560). การบริหารอินซูลินด้วยตนเองในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1. วารสารพยาบาลทหารบก, 18(1), 11-21.
บัญจางค์ สุขเจริญ. (2555). การพยาบาลผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาต่อมไร้ท่อ. ตำราการพยาบาลเด็ก เล่ม 2. กรุงเทพมหานคร: โครงการตำราคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
ปิยนันท์ เทพรักษ์. (2557). ผลของโปรแกรมการใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพร่วมกับการส่งเสริม ความสามารถของตนโดยพยาบาลลดระดับฮีโมโกลบินเอวันซี. กรุงเทพมหานคร: โรงพยาบาลศิริราช.
วารุณี สันป่าแก้ว, วนิดา เสนะสุทธิพันธุ์, พรรณรัตน์ แสงเพิ่ม และสุภาวดี ลิขิตมาศกุล. (2557). ความสัมพันธ์ระหว่างการสนับสนุนทางสังคมและปัจจัยบางประการกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของวัยรุ่นเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน. วารสารเกื้อการุณย์, 21(1), 186-204.
วิชัย เอกพลากร. (2557). การสำรวจสุขภาพประชากรไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5. สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ.
สมจิต หนุเจริญกุล (2544). การประยุกต์ใช้ทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็ม. พิมพ์ครั้งที่ 6. การดูแลตนเอง: ศาสตร์และศิลปะทางการพยาบาล. กรุงเทพฯ: วี.เจ.พริ้นติ้ง
สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็กพระเทพ. (2558). คู่มือการฉีดอินซูลิน. ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ
สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็กพระเทพ. (2560). แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน 2560. ปทุมธานี: ร่มเย็น มีเดีย.
ศิริโสภา จรรยาสิงห์, พรศรี ศรีอัษฎาพร, อาภาวรรณ หนูคง,อัจฉรา เปรื่องเวทย์ และสุภาวดี ลิขตมาศกุล (2555). โครงการศึกษานำร่องผลของโปรแกรมการสร้างพลังใจของผู้ดูแลต่อการควบคุมเบาหวานที่บ้านในเด็กเบาหวานที่ควบคุมไม่ดี. วารสารพยาบาลศาสตร์, 29(2), 65-73.
อัจฉรา จินดาวัฒนวงศ์, นพวรรณ เปียซื่อ และ พัชรินทร์ นินทจันทร์. (2555). ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย. รามาธิบดีวารสาร, 18(1), 58-69.
American Diabetes Association of Thailand. Standards of Medical Care in Diabetes 2016. Diabetes Care 2016, 39(1), 99-106.
Dabelea, D., Mayer-Davis, E. J., Saydah, S., Imperatore, G., Linder, B., Divers, J., Hamman, R. F. (2014). Prevalence of type 1 and type 2 diabetes among children and adolescents from 2001 to 2009. Jama, 311(17), 1778-1786.
Jerica M Berge, Melanie Wall, Nicole Larson, Katie A Loth, Dianne Neumark-SZtainer. (2013). Journal of adolescent health, 52(3), 351-357.
Orem, D.E. (1991). Nursing: concepts of practice. (4th ed.) Philadelphia: Mosbe Year Book.
Orem, D.E., Taylor G.S. (2001) Nursing: concept of practice. 6th ed. St. Louis: Mosby.
World Health Organiation. (2012). Retrieved May 10, 2018, from
www.who.int/dietphysicalactivity/publications/facts/diabetes/en/