การพัฒนารูปแบบสร้างค่านิยมสร้างสรรค์และความรอบรู้ในด้านป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง สำหรับเด็กวัยเรียน

ผู้แต่ง

  • ศราวุธ โภชนะสมบัติ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 3 จังหวัดนครสวรรค์
  • สำราญ สิริภคมงคล สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 จังหวัดชลบุรี

คำสำคัญ:

ค่านิยมสร้างสรรค์, ความรอบรู้ด้านสุขภาพ, ป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง, เด็กวัยเรียน

บทคัดย่อ

        โรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สำคัญคือเบาหวานและความดันโลหิตสูง มาจากปัจจัยเสี่ยงจากภาวะอ้วนมีแนวโน้มพบมากขึ้นในกลุ่มอายุที่น้อยลง ปัจจุบันนักเรียนมีโอกาสเสี่ยงสูงเนื่องจากมีภาวะอ้วน สาเหตุจากการออกกำลังกายน้อยและ รับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม  วิธีการป้องกันที่ดี จึงควรสร้างค่านิยมที่ถูกต้อง และความรอบรู้ทางด้านสุขภาพเพื่อป้องกันโรค วัตถุประสงค์การวิจัย 3 ประการคือ 1)เพื่อค้นหาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับค่านิยมสร้างสรรค์และความรอบรู้ในการป้องกันโรค 2) เพื่อพัฒนารูปแบบค่านิยมสร้างสรรค์และความรอบรู้ในการป้องกันโรคและ 3) เพื่อประเมินประสิทธิผลของรูปแบบความรู้ค่านิยมสร้างสรรค์และความรอบรู้ในการป้องกันโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงของเด็กวัยเรียน รูปแบบการวิจัยและพัฒนา เก็บข้อมูลแบบผสานวิธีครั้งเดียว ณ ช่วงเวลาที่กำหนด  กลุ่มตัวอย่างคือเด็กวัยเรียนชั้นประถมศึกษาที่3–6 ของ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์เขต 1 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 408 คน สุ่มตัวอย่างอย่างง่ายแบบสองขั้นตอน วิเคราะห์เนื้อหา และ สมการเชิงโครงสร้าง ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ได้แก่ ความรู้ ค่านิยมสร้างสรรค์ และความรอบรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P- value< 0.01) รูปแบบความรู้ค่านิยมสร้างสรรค์และความรอบรู้ในการป้องกันโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงของเด็กวัยเรียน พบว่า องค์ประกอบด้านความรู้และทัศนคติ ค่านิยมสร้างสรรค์ และ ความรอบรู้ ส่งผลต่อองค์ประกอบพฤติกรรมการป้องกันโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ร้อยละ 39 , 41 และ 21 ตามลำดับ และโมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ c2 = 57.272  P = 0.195 DF =49 CMIN/DF = 1.169  RMR= 0.180 GFI = 0.979  AGFI = 0.961 RMSEA = 0.020) ผลการประเมินประสิทธิผลด้วยวิธีการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ พบว่า หลักสูตรการพัฒนาค่านิยมและความรอบรู้สามารถพัฒนาพฤติกรรมการป้องกันได้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำผลที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้ไปใช้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กวัยเรียน และจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินงานตามโมเดลที่ค้นพบจากการวิจัยครั้งนี้

เอกสารอ้างอิง

World Health Organization. Non-communicable diseases and their risk factors; Major NCDs and their risk factors [Internet]. [Cited 2023 September 9]. Available from: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/noncommunicable-diseases

กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค. รายงานสถานการณ์โรค NCDs เบาหวาน ความดันโลหิตสูงและปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง พ.ศ.2562. กรุงเทพฯ: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์; 2563.

กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. จำนวนและอัตราตายด้วย 4 โรค NCD ต่อประชากรแสนคน 100,000 คน ปี 2559-2561 จำแนกรายจังหวัด เขตบริการสุขภาพ และภาพรวมประเทศ (รวมกรุงเทพมหานคร) [อินเตอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2566]. เข้าถึงได้จาก: https://www.m-society.go.th/ewtadmin/ewt/mso_web/download/article/article_20220329115720.xlsx

สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ. รายงานภาระโรคและการบาดเจ็บของประชากรไทย พ.ศ. 2554. นนทบุรี: เดอะ กราฟิโก ซีสเต็มส์; 2560.

วิชัย เอกพลากร, หทัยชนก พรรคเจริญ, กนิษฐา ไทยกล้า, วราภรณ์ เสถียรนพเก้า. รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์; 2559.

สถาบันวิจัยประชากรและสังคม. สุขภาพคนไทย: ชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเองสู่การปฏิรูปประเทศฐานราก. กรุงเทพฯ: อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง; 2557.

Hockenberry MJ, Wilson D, Wong DL, Wong S. Essentials of Pediatric Nursing 9th. St. Louis: Elsevier/Mosby; 2013.

McLaughlin KA, Hilt LM, Nolen-Hoeksema S. Racial/Ethnic Differences in Internalizing and Externalizing Symptoms in Adolescents. J Abnorm Child Psychol 2007; 35: 801-16.

World Health Organization. Health promotion: Track 2: Health literacy and health behavior. [Internet]. 2009 [Cited 1 September 2023]. Available from: https://www.who.int/teams/health-promotion/enhanced-wellbeing/seventh-global-conference/health-literacy

อังศินันท์ อินทรกําแหง, Macaskill A. การประเมินและการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพและสุขภาวะครอบครัวกลุ่มเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง: การพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุทางวัฒนธรรมของพฤติกรรมสุขภาพและโปรแกรมจิตวิทยาเชิงบวกและความรอบรู้ด้านสุขภาพ. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และNewton Advance Fellowship Awards by British Academy; 2561.

Rush M. An introduction to political sociology. New York: Prentice Hall; 1992.

Bloom BS. Taxonomy of Education. New York: David McKay Company Inc; 1975.

Creswell JW, Plano Clark VL. Designing and conducting mixed methods research. 2nd ed. Thousand Oaks, CA: Sage; 2011.

Hair JF, Black WC, Babin BJ, Anderson RF. Multivariate Data Analysis. 7th. N.J.: Pearson Practice Hall; 2010.

Cronbach LJ. Coefficient alpha and the internal structure of tests. Psychometrika 1951; 3: 297– 34.

กัลยา วานิชย์บัญชา. การใช้ SPSS for windows ในการวิเคราะห์ข้อมูล. กรุงเทพฯ: ภาควิชาสถิติคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2548.

เสรี ลาชโรจน์. หลักเกณฑ์และวิธีการวัดและประเมินผลการศึกษาในโรงเรียน. ใน: เอกสารการสอนชุดวิชาการบริหารและการจัดการ การวัดและประเมินผลการศึกษา หน่วยที่ 1-7. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช; 2537.

ศิริชัย กาญจนวาสี. ทฤษฎีการทดสอบแบบดั้งเดิม (CLASSICAL TEST THEORY) (ฉบับปรับปรุง). พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2556.

นงลักษณ์ วิรัชชัย. ความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างโครงเส้น (LISREL): สถิติวิเคราะห์สำหรับการวิจัยทางสังคมศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2538.

อุมาพร ใจยั่งยืน, สุภาภรณ์ วรอรุณ, สาวิตรี ศิริผลวุฒิชัย. ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมโรคเบาหวานที่ไม่พึ่งอินซูลินในกลุ่มเสี่ยง. วารสารกองการพยาบาล 2565; 49(1): 1-13.

ชมรมโภชนาการเด็กแห่งประเทศไทยและราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติการป้องกันและรักษาโรคอ้วนในเด็ก พ.ศ. 2557 [อินเทอร์เน็ต]. 2557 [เข้าถึงเมื่อ 1 กันยายน 2566]. เข้าถึงได้จาก: https://www.si.mahidol.ac.th/th/department/pediatrics/pdf/service/Guideline/nutrition/obesity2557.pdf

Ericson RF. The Impact of Cybernetic Information Technology on Management Value Systems. Management Science 1962; 16(2): 44.

Zarcadoolas C, Pleasant A, Greer DS. Understanding health literacy: an expanded model. Health Promot Int 2005; 20(2): 195-203.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2024-12-28

รูปแบบการอ้างอิง

1.
โภชนะสมบัติ ศ, สิริภคมงคล ส. การพัฒนารูปแบบสร้างค่านิยมสร้างสรรค์และความรอบรู้ในด้านป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง สำหรับเด็กวัยเรียน. J Offic Dis Prev Control 7 [อินเทอร์เน็ต]. 28 ธันวาคม 2024 [อ้างถึง 25 ธันวาคม 2025];31(3):181-94. available at: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/273590

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย