จริยธรรมการตีพิมพ์
จริยธรรมการเผยแพร่บทความ
1. บทความที่ส่งมารับการพิจารณาเพื่อเผยแพร่ในวารสารการยศาสตร์ไทย จะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารอื่นใดมาก่อน หรืออยู่ระหว่างการส่งไปให้วารสารอื่นพิจารณา ในขณะที่ขั้นตอนการพิจารณาจากวารสารนี้ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด
2. จริยธรรมการตีพิมพ์บทความวิจัย ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ “The Committee on Publication Ethics (COPE)” (https://publicationethics.org/) ซึ่งขึ้นกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้แก่ ผู้แต่ง ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ และบรรณาธิการ
จริยธรรมของผู้แต่ง (Ethics of Authors)
1. ผู้แต่งต้องส่งบทความนิพนธ์ต้นฉบับ (original article) ที่เป็นงานของผู้แต่งเอง หากการนำงานของผู้อื่นมาใช้ในบทความ ต้องอ้างอิงอย่างถูกต้อง และใส่ชื่องานที่อ้างอิงในเอกสารอ้างอิง (reference) วารสารการยศาสตร์ไทยขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจสอบการคัดลอกบทความ (plagiarism) ของบทความนิพนธ์ต้นฉบับที่ส่งมา
2. ผู้แต่งต้องแสดงให้เห็นถึงการทำวิจัยที่ถูกต้องเหมาะสมตามกระบวนการทำวิจัย และแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของผลงานวิจัย ข้อมูลผลการวิจัย ต้องเป็นข้อมูลจริง ชัดเจน ไม่มีการสร้างข้อมูล หรือปรับเปลี่ยนข้อมูลเพื่อให้ได้ผลการวิเคราะห์ทางสถิติที่ต้องการ นอกจากนี้ การสรุปผลการวิจัย ต้องสืบเนื่องมาจากผลการวิจัย ไม่ใช้ความเห็นส่วนบุคคล
3. ในการส่งบทความวิจัย ผู้แต่งต้องระบุแหล่งทุนที่สนับสนุนงานวิจัย และการมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือการขัดกันของผลประโยชน์ (conflict of interest) ไว้ด้วย (ถ้ามี)
จริยธรรมของผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ (Ethics of Reviewers)
1. ผู้ทรงคุณวิฒิที่พิจารณาบทความต้องไม่เผยแพร่ข้อมูลใดที่เกี่ยวข้องกับบทความที่พิจารณาต่อบุคคลอื่น และไม่แสดงตัวว่าเป็นผู้พิจารณาบทความจนกว่าบทความจะได้รับการเผยแพร่ หากบทความไม่ได้รับการเผยแพร่ ผู้พิจารณาไม่สามารถอ้างอิงบทความดังกล่าวได้ ยกเว้นจะได้รับการอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้แต่ง โดยต้องดำเนินการผ่านบรรณาธิการของวารสาร
2. หากผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือการขัดกันของผลประโยชน์ (conflict of interest) หลังจากได้รับบทความไปพิจารณาแล้ว ผู้ทรงคุณวุฒิที่พิจารณาบทความต้องแจ้งบรรณาธิการและปฏิเสธการพิจารณาบทความนั้นในทันที
3. การพิจารณาบทความควรอยู่บนพื้นฐานของความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาของผู้พิจารณาบทความ โดยพิจารณาว่าบทความมีการสร้างองค์ความรู้ใหม่อย่างไร มีการอ้างอิงหลักฐานเชิงประจักษ์ในการนำเสนอผลการวิจัย ไม่ใช้ความเห็นส่วนตัว
4. ผู้ทรงคุณวุฒิที่พิจารณาบทความควรมีข้อเสนอแนะให้ผู้แต่งเขียน Acknowledge ต่อผลงานวิจัยของผู้อื่นที่นำมาใช้ในบทความวิจัย หากพบว่าผู้แต่งไม่ได้อ้างอิง ให้แจ้งบรรณาธิการเมื่อพบว่าบทความมีความซ้ำซ้อนหรือมีความคล้ายคลึงกับบทความอื่นที่ผู้พิจารณาเคยพบในบทความที่เผยแพร่มาก่อนหน้านี้
จริยธรรมของบรรณาธิการ
1. กระบวนการพิจารณาบทความของวารสารการยศาสตร์ไทย เป็นการพิจารณาแบบ double-blind ดังนั้น บรรณาธิการต้องปิดบังรายชื่อผู้แต่ง และผู้ทรงคุณวุฒิที่พิจารณาบทความไว้เป็นความลับ บทความที่ไม่ผ่านการพิจารณาให้เผยแพร่ ต้องไม่ถูกอ้างอิงจากบรรณาธิการ เว้นแต่ได้รับการยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้แต่ง ข้อมูลใดๆที่เกี่ยวข้องกับบทความต้องปกปิดเป็นความลับ
2. บรรณาธการวารสารจะต้องเลือกผู้เชี่ยวชาญในการพิจารณาบทความตามความถนัดในสาขาของผลงาน และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ในกรณีที่บรรณาธิการมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือการขัดกันของผลประโยชน์ (conflict of interest) ในกระบวนการพิจารณาบทความไม่ว่าจะเป็นในด้านใด บรรณาธิการควรถอนตัวจากบทความนั้น และให้บรรณาธิการอื่นเป็นผู้ดูแลแทน
การตัดสินการเผยแพร่บทความ
เมื่อได้รับผลการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิผู้พิจารณาบทความครบถ้วนแล้ว บรรณาธิการต้องตัดสินว่าจะเผยแพร่บทความหรือไม่จากผลการพิจารณา ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงองค์ความรู้ที่ได้จากบทความ หลักฐานเชิงประจักษ์ ที่สนับสนุนหรือขัดแย้งกับบทความดังกล่าว
การคัดลอกบทความผู้อื่น (Plagiarism)
1. เมื่อบทความส่งเข้ามาในระบบของวารสารการยศาสตร์ไทย บทความจะถูกตรวจสอบการคัดลอกบทความผู้อื่นโดย Software Copy–Catch ในฐานข้อมูล หากพบว่าผลการตรวจสอบมีความคล้ายในสัดส่วนที่มากกับบทความอื่น (เช่น คัดลอกทั้งย่อหน้า) มีผลในการปฏิเสธการตีพิมพ์ในทันที หากบทความมีความคล้ายบ้าง บรรณาธิการจะแจ้งให้ผู้แต่งปรับแก้ก่อนเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในลำดับถัดไป
2. ในกรณีที่พบความคล้ายกับผลงานผู้อื่นในระหว่างการพิจารณาบทความ บรรณาธิการควรยับยั้งกระบวนการพิจารณา และจะขอคำอธิบายจากผู้แต่ง ซึ่งหากคำอธิบายไม่มีเหตุผลที่สมควร บทความจะถูกปฏิเสธการเผยแพร่
3. ในกรณีที่พบความคล้าย ภายหลังบทความได้เผยแพร่แล้ว บรรณาธิการจะดึงบทความออกจากวารสาร และประกาศในวารสารในทันทีว่าบทความถูกถอดออกจากวารสาร นอกจากนี้ บรรณาธิการจะแจ้งไปยังหน่วยงานต้นสังกัดของผู้แต่งทุกคนในบทความนั้นถึงเหตุผลที่ต้องถอดบทความนั้นออกจากวารสาร