การพัฒนาอุปกรณ์ช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในแนวราบสำหรับผู้ปฏิบัติงานเคลื่อนย้ายตัวผู้ป่วยในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงทางด้านการยศาสตร์ในบุคลากรทางการแพทย์ การใช้อุปกรณ์ช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถลดความเสี่ยงทางการยศาสตร์ได้ แต่ด้วยข้อจำกัดในการเข้าถึงอุปกรณ์ช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วย และจำนวนของอุปกรณ์ช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่มีอยู่อย่างจำกัด ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะทำการพัฒนาอุปกรณ์ช่วยในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยระหว่างเตียงแนวราบ เพื่อลดความเสี่ยงทางด้านการยศาสตร์ของผู้ปฏิบัติงานเคลื่อนย้ายผู้ป่วย งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองเป็นการศึกษากลุ่มตัวอย่างเพียงกลุ่มเดียวทำการกำหนดกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเป็นอาสาสมัครที่มีสุขภาพแข็งแรงจำนวน 8 คน โดยจะทำการทดสอบทั้งหมด 2 รูปแบบ คือ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแนวราบด้วยแรงมือ และการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแนวราบด้วยอุปกรณ์ช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม แบบประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ (REBA) และเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ โดยจะมีการเก็บข้อมูลและเปรียบเทียบคะแนนท่าทางในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย แรงการหดตัวของกล้ามเนื้อ และระยะเวลาที่ใช้ระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยแรงมือและอุปกรณ์ช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยสถิติ Wilcoxon signed-rank test กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยนี้ทั้งหมดผ่านเกณฑ์การคัดเข้าและเกณฑ์การคัดออก เป็นเพศชายทั้งหมด 8 คน มีอายุเฉลี่ย 40.88 ปี น้ำหนักเฉลี่ย 71 กิโลกรัม และส่วนสูงเฉลี่ย 168.75 เซนติเมตร ผลการวิจัยพบว่าการใช้อุปกรณ์ช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในแนวราบมีคะแนน REBA 3.88 คะแนน ซึ่งน้อยกว่าการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยแรงมืออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P < 0.001) การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยอุปกรณ์ช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในแนวราบมีคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (%MVC) มีค่าเฉลี่ยของกล้ามเนื้อแลททิสซิมุส ดอร์ไซ 19.84% และค่าเฉลี่ยของกล้ามเนื้ออิลิโอคอสตัลลิส 28.46% ซึ่งน้อยกว่าการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยแรงมือที่มีค่าเฉลี่ยของกล้ามเนื้อแลททิสซิมุส ดอร์ไซ 32.46% และค่าเฉลี่ยของกล้ามเนื้ออิลิโอคอสตัลลิส 34.46% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P < 0.01) และการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยแรงมือใช้ระยะเวลาเฉลี่ยเท่ากับ 29 วินาที ซึ่งน้อยกว่าการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยอุปกรณ์ช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในแนวราบที่ใช้ระยะเวลาเฉลี่ย 79 วินาที อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.001) การวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการใช้อุปกรณ์ช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในแนวราบสามารถลดความเสี่ยงทางการยศาสตร์ของผู้ปฏิบัติงานเคลื่อนย้ายผู้ป่วย อันได้แก่ ท่าทางการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ไม่เหมาะสมและแรงการบีบตัวของกล้ามเนื้อส่วนหลังได้
Article Details
อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
Hartvigsen J, Hancock MJ, Kongsted A, Louw Q, Ferreira ML, Genevay S, et al. What low back pain is and why we need to pay attention. Lancet. 2018;391(10137):2356-67.
กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม. รายงานสถานการณ์โรคและภัยสุขภาพจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมปี 2561. [อินเทอร์เน็ต]. นนทบุรี: กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค; 2561 [เข้าถึงเมื่อ 7 สิงหาคม 2565]. เข้าถึงได้จาก: http://envocc.ddc.moph.go.th/uploads/situation2/2561/2561_01_envocc_situation.pdf
เฉลิมรัฐ มีอยู่เต็ม. การศึกษาความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดหลังส่วนล่างของบุคลากรทางการ พยาบาลในโรงพยาบาลนครปฐม. วารสารแพทย์ เขต 4-5. 2020;39(4):578-90.
Knibbe HJ, Knibbe NE, Klaassen AJ. Safe patient handling program in critical care using peer leaders: lessons learned in the Netherlands. Crit Care Nurs Clin North Am. 2007;19(2):205-11.
Blay N, Roche MA, Duffield C, Gallagher R. Intrahospital transfers and the impact on nursing workload. J Clin Nurs. 2017;26(23-24):4822-9.
Marras W, Davis K, Kirking B, Bertsche P. A comprehensive analysis of low-back disorder risk and spinal loading during the transferring and repositioning of patients using different techniques. Ergonomics. 1999;42(7):904-26.
Smedley J, Egger P, Cooper C, Coggon D. Manual handling activities and risk of low back pain in nurses. Occup Environ Med. 1995;52(3):160-3.
Schaafsma FG, Anema JR, van der Beek AJ. Back pain: Prevention and management in the workplace. Best Pract Res Clin Rheumatol. 2015;29(3):483-94.
Pellino TA, Owen B, Knapp L, Noack J. The evaluation of mechanical devices for lateral transfers on perceived exertion and patient comfort. Orthop Nurs. 2006;25(1):4-10.
Noble NL, Sweeney NL. Barriers to the use of assistive devices in patient handling. Workplace Health Saf. 2018;66(1):41-8.
Faul F, Erdfelder E, Lang A-G, Buchner A. G* Power 3: A flexible statistical power analysis program for the social, behavioral, and biomedical sciences. Behav Res Methods. 2007;39(2):175-91.
Jin S. Biomechanical characteristics in the recovery phase after low back fatigue in passive and active tissues. Int J Ind Ergon. 2018;64:163-9.
Higgnet S, Mcatamney L. Technical Note, Rapid Entire Body Assessment. Appl Ergon. 2000;31(2):201-5.
Vinstrup J, Jakobsen MD, Madeleine P, Andersen LL. Biomechanical load during patient transfer with assistive devices: cross-sectional study. Ergonomics. 2020;63(9):1164-74.
Bergman R, De Jesus O. Patient Care Transfer Techniques. StatPearls [Internet]. 2020.[cited 2022 Aug 07]. Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK564305/
Salmani Nodooshan H, Choobineh A, Razeghi M, Shahnazar Nezhad Khales T. Designing, prototype making and evaluating a mechanical aid device for patient transfer between bed and stretcher. Int J Occup Saf Ergon. 2017;23(4):491-500.
Miller A, Engst C, Tate RB, Yassi A. Evaluation of the effectiveness of portable ceiling lifts in a new long-term care facility. Appl Ergon. 2006;37(3):377-85.
Edlich R, Winters KL, Hudson MA, Britt L, Long III WB. Prevention of disabling back injuries in nurses by the use of mechanical patient lift systems. J Long-Term Eff Med Implants. 2004;14(6):521-33.
Garg A, Owen B, Beller D, Banaag J. A biomechanical and ergonomic evaluation of patient transferring tasks: bed to wheelchair and wheelchair to bed. Ergonomics. 1991;34(3):289-312.
Holtermann A, Clausen T, Jorgensen MB, Aust B, Mortensen OS, Burdorf A, et al. Does rare use of assistive devices during patient handling increase the risk of low back pain? A prospective cohort study among female healthcare workers. Int Arch Occup Environ Health. 2015;88(3):335-42.
Waters TR. When is it safe to manually lift a patient? Am J Nurs. 2007;107(8):53-8.
