ความเสี่ยงทางการยศาสตร์และความผิดปกติทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อ จากการทำงานของทันตบุคลากร

Main Article Content

ชลิตา ช่ออบเชย
พรนภา ศุกรเวทย์ศิริ
สุนิสา ชายเกลี้ยง

บทคัดย่อ

บทคัดย่อ: การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์จากท่าทางการทำงานของทันตบุคลากร และความผิดปกติทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อในทันตบุคลากร กลุ่มตัวอย่างคือ ทันตบุคลากรที่ประจำอยู่สถานพยาบาลของรัฐ ในจังหวัดเพชรบุรี มีทั้งสิ้นจำนวน 118 คน โดยใช้แบบสอบถามประเมินความรู้สึกไม่สบายบริเวณของร่างกายจากการทำงาน บอกความรุนแรงและความถี่ของอาการปวดทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อ มีการสังเกตท่าทางการทำงานด้วยการประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์โดยใช้วิธี RULA (Rapid Upper Limb Assessment) ผลการศึกษาพบว่า ทันตบุคลากรมีความผิดปกติทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมาในทุกคน เมื่อพิจารณาความถี่ของการเกิดอาการผิดปกติหลายๆ ครั้งในทุกๆ วัน พบตำแหน่งที่มีอาการสูงสุด 3 อันดับแรก คือ คอ ร้อยละ 15.25 รองลงมาคือ ไหล่ ร้อยละ 13.56 และหลัง ร้อยละ 10.17 ตามลำดับ เมื่อจำแนกตามความรุนแรงของอาการปวด พบว่า มีอาการปวดระดับปานกลางขึ้นไป ตำแหน่งที่พบสูงสุด 3 ลำดับแรก คือ คอ ร้อยละ 71.19 รองลงมาคือ ไหล่ ร้อยละ 69.49 และหลัง ร้อยละ 66.95 ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาร่วมเป็นระดับความความรู้สึกไม่สบายทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย พบระดับความรู้สึกไม่สบายตั้งแต่ปานกลางขึ้นไป 3 ลำดับแรก คือ คอ ร้อยละ 55.08 รองลงมาคือ ไหล่ ร้อยละ 46.61 และหลัง 41.53 ตามลำดับ ผลการประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ด้วยวิธี RULA ตามลักษณะงาน พบว่า งานถอนฟัน ทันตบุคลากรส่วนใหญ่มีความเสี่ยงทางการยศาสตร์ คือ ระดับ 3 (ท่าทางที่ควรตรวจสอบและต้องแก้ไขโดยเร็ว) ร้อยละ 58.47 รองลงมาคือ ระดับ 4 (ท่าทางที่ควรได้รับการแก้ไขโดยทันที) ร้อยละ 29.66 ส่วนงานอุดฟัน ทันตบุคลากรมีความเสี่ยงทางการยศาสตร์ตั้งแต่ระดับ 2 ร้อยละ 65.25 รองลงมาคือ ระดับ 3 ร้อยละ 30.51 โดยมีความเสี่ยงสูงบริเวณคอและหลังการศึกษาครั้งนี้แสดงถึงผลระดับความเสี่ยงสูงทางการยศาสตร์จากท่าทางการทำงานไม่เหมาะสมของทันตบุคลากรทั้งในงานถอนฟันและอุดฟัน ที่อาจเป็นสาเหตุของความผิดปกติบริเวณคอ ไหล่ หลัง ที่พบว่ามีความชุกสูง ดังนั้นทันตบุคลากรควรได้รับคำแนะนำในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านท่าทางในการทำงานที่ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อป้องกันการปวดคอ ไหล่ หลัง เรื้อรังได้ต่อไป

Article Details

ประเภทบทความ
นิพนธ์ต้นฉบับ

เอกสารอ้างอิง

กลุ่มอาชีวอนามัย สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการจัดบริการอาชีวอนามัยให้กับแรงงานในชุมชนด้านการยศาสตร์ ปี 2560 [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 2 ก.พ. 2563]. เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th/uploads/files/5b9b2251268a2835083c9230468c070f.pdf

กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. รายงานสถานการณ์โรคและภัยสุขภาพจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม [อินเตอร์เน็ต]. นนทบุรี: 2561 [เข้าถึงเมื่อ 3 ก.พ. 2563]. เข้าถึงได้จาก: http://envocc.ddc.moph.go.th/uploads/situation2/2561/2561_01_envocc_situation.pdf

องค์การทันตแพทย์สภา. สถิติของทันตแพทยสภา [อินเตอร์เน็ต]. นนทบุรี: 2560 [เข้าถึงเมื่อ 3 ก.พ. 2563]. เข้าถึงได้จาก: http://www.dentalcouncil.or.th/th/statistic.php.

Smart. 5 อาชีพที่สุ่มเสี่ยงต่อการเสื่อมสุขภาพในอนาคต [อินเตอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: 2559 [เข้าถึงเมื่อ 3 ก.พ. 2563]. เข้าถึงได้จาก: https://www.smartsme.co.th/content/31209.

นิธิมา เสริมสุธีอนุวัฒน์, พรชัย สิทธิศรัณย์กุล. อาการผิดปกติทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อของทันตแพทย์. วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์ 2559;67(2):72-80.

Chaiklieng S, Suggaravetsiri P. Ergonomic risk and neck shoulder back pain among dental professionals. Procedia Manuf 2015;3:4900-5.

อรุณ จิรวัฒน์กุล. ชีวสถิติ. พิมพ์ครั้งที่ 3. ขอนแก่น: คลังนานาวิทยา; 2551.

สุนิสา ชายเกลี้ยง, พรนภา ศุกรเวทย์ศิริ, วิภารัตน์ โพธิ์ขี. รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ปัจจัยเสี่ยง ความเสี่ยงทางการยศาสตร์ และความชุกของการปวดหลังของพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2558.

Chaiklieng S. Health risk assessment on musculoskeletal disorders among potato-chip processing workers. PloS ONE 2019;14(12):e0224980. doi: 10.1371/jounal. pone.0224980.

McAtamney L, Corlett EN. RULA: a survey method for the investigation of work-related upper limb disorders Appl Ergon 1993;24:91-9.

สุนิสา ชายเกลี้ยง, รัชติญา นิธิธรรมธาดา. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปวดคอ ไหล่ หลังของทันตบุคลากรในโรงพยาบาลของรัฐ จังหวัดขอนแก่น. ว.สาธารณสุขศาสตร์ 2559;46(1):42-56.