The Follow-up of Elderly Blood Donors at Nation Blood Centre, Thai Red Cross Society

บทคัดย่อ

บทคัดย่อ  วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้คือ การติดตามกลุ่มผู้บริจาคโลหิตที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เพื่อสำรวจภาวะสุขภาพปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ของการบริจาคโลหิตและภาวะแทรกซ้อนภายหลังการบริจาคโลหิต รวมทั้งความสามารถกลับมาบริจาคโลหิตครั้งต่อไปได้อย่างต่อเนื่องโดยการคัดกรองทั่วไปและเพิ่มการตรวจ complete blood count (CBC) และ serum ferritin (SF) ทุกครั้ง วิธีการ เป็นการศึกษาสำรวจในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 – 70 ปี ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2554 โดยแบ่งกลุ่มตามอายุ เพศ การบริจาคโลหิตได้เป็นครั้งแรกหลังอายุครบ 60 ปี การกลับมาบริจาคอีกหลังจากบริจาคโลหิตครั้งแรกไปแล้ว และกลับมาบริจาคอีกในครั้งต่อๆ ไป รวมทั้งผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ CBC, SF และติดตามปฏิกิริยาของการบริจาคโลหิตรวมทั้งภาวะแทรกซ้อนภายหลังการบริจาคโลหิต และนำข้อมูลทางสถิติที่ได้มาศึกษาวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการศึกษา กลุ่มตัวอย่างผู้บริจาคโลหิตจำนวนทั้งสิ้น 671 คน เป็นเพศชาย 478 คน เพศหญิง 193 คน เป็นผู้บริจาคที่กลับมาบริจาคอีกหลังอายุ 60 ปีห่างจากการบริจาคครั้งสุดท้ายเฉลี่ยประมาณ 1 ปี โดยเป็นผู้บริจาคโลหิตมาแล้วเฉลี่ยเพศชายประมาณ 74 ครั้ง และเพศหญิงประมาณ 41 ครั้ง ซึ่งคิดเป็นผู้บริจาคโลหิตร้อยละ 0.20 ของจำนวนผู้ที่มาบริจาคโลหิตทั้งหมด ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ในปี 2554 และได้ปริมาณโลหิตทั้งหมดคิดเป็นร้อยละ 0.18 ของปริมาณโลหิตที่ได้รับของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติทั้งหมด ผู้บริจาคโลหิตที่มีอายุมากกว่า 60-70 ปี เป็นเพศชาย มีค่าเฉลี่ย SF, RBC, Hb, MCV, MCH, WBC, Plt และ RDW เท่ากับ 118.11 mg/L, 4.76 M/mL, 14.23 g/dL, 89.90 fL, 30.39 pg, 6.39 K/mL, 226.92 K/mL และร้อยละ 13.39 ตามลำดับ เป็นเพศหญิง มีค่าเฉลี่ย SF, RBC, Hb, MCV, MCH, WBC, Plt และ RDW เท่ากับ 87.42 mg/L, 4.40 M/mL, 13.00 g/dL, 88.36 fL, 29.62 pg, 6.60 K/mL, 274.58 K/mL และร้อยละ 13.23 ตามลำดับ จากการติดตามปฏิกิริยาขณะบริจาคโลหิตและหลังบริจาคโลหิตไม่พบปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์แต่อย่างใด สรุป ผู้บริจาคโลหิตที่บริจาคเป็นประจำสม่ำเสมอที่มีอายุมากกว่า 60 ปี สุขภาพแข็งแรงเพียงพอที่จะบริจาคโลหิตเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วย การได้บริจาคโลหิตเป็นการส่งเสริมความรู้สึกภาคภูมิใจและความมีคุณค่าในตนเองที่ยังสามารถช่วยเหลือสังคมได้ และช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงอายุเหล่านี้หันมาสนใจดูแลสุขภาพของตนเองเพิ่มมากขึ้น และบอกต่อไปยังครอบครัว ญาติ และกลุ่มเพื่อนที่ยังมีสุขภาพแข็งแรงมาร่วมกันสร้างกุศลโดยการมาเป็นผู้บริจาคใหม่ หรือกลับมาบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่องเมื่ออายุครบ 60 ปีไปแล้ว สำหรับการวิจัยในอนาคตการดูแลผู้บริจาคโลหิตควรขยายขอบเขตครอบคลุมปัญหาทุกด้านที่เกิดขึ้นในการบริจาคโลหิต