ความชุกของการติดเชื้อซิฟิลิส เอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบี และซี ในผู้บริจาคโลหิต

Abstract

บทนำ โรคติดเชื้อที่ติดต่อผ่านทางโลหิตบางชนิดไม่ปรากฏอาการทางคลินิก การคัดเลือกผู้บริจาคโลหิตและการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ดี จึงเป็น 2 องค์ประกอบสำคัญของการจัดหาโลหิตที่ปลอดภัย แม้ว่าในปัจจุบันมีการผลิตโลหิตสังเคราะห์แต่คุณสมบัติต่างๆ ยังไม่สามารถทดแทนโลหิตของมนุษย์ได้ วัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์ความชุกของการติดเชื้อซิฟิลิส เอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบี และซี ในผู้บริจาคโลหิตครั้งแรกที่ส่งตรวจ ณ ภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 8 จังหวัดนครสวรรค์ วิธีการศึกษาเป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง โดยรวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูลรายงานผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการของภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 8 จังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2550-2554 แยกตามเพศ ช่วงอายุ จังหวัด และการติดเชื้อ ผลการศึกษาผู้บริจาคโลหิตครั้งแรกระหว่าง พ.ศ.2550-2554 มีจำนวน 58,005 ราย เป็นเพศชายร้อยละ 57.8 เพศหญิงร้อยละ 42.2 ช่วงอายุที่มีผู้บริจาคโลหิตมากที่สุดคือ 17-20 ปี คิดเป็นร้อยละ 33.9 จังหวัดที่มีผู้บริจาคโลหิตมากที่สุด คือ จังหวัดนครสวรรค์ คิดเป็นร้อยละ 77.9 เมื่อวิเคราะห์ความชุกของการติดเชื้อพบไวรัสตับอักเสบบี มากที่สุดโดยตรวจพบ HBsAg ร้อยละ 3.73 รองลงมาคือซิฟิลิส พบ syphilis antibody ร้อยละ 0.91 ไวรัสตับอักเสบซี พบ anti-HCV ร้อยละ 0.82 และ เอชไอวี ตรวจพบ HIV-Ag/Ab ร้อยละ 0.22 เมื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ทางสถิติพบว่าการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี มีความแตกต่างระหว่างเพศอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.045) เมื่อวิเคราะห์ตามช่วงอายุและจังหวัดที่พบ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในช่วงอายุ 41-50 ปี และจังหวัดกำแพงเพชร การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในช่วงอายุ 51-60 ปี และจังหวัดเพชรบูรณ์ การติดเชื้อซิฟิลิส ในช่วงอายุ 61-63 ปี และการติดเชื้อเอชไอวี ในช่วงอายุ 31-40 ปี พบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01) แต่ไม่มีความแตกต่างในระหว่างจังหวัด สรุป ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าเพศชายมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ถ่ายทอดทางโลหิตมากกว่าเพศหญิง กลุ่มอายุ17-20 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา มีการบริจาคโลหิตมากที่สุดและยังพบการติดเชื้อน้อยที่สุด ส่วนการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี พบมากที่สุดในผู้บริจาคโลหิตครั้งแรก