ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยากดภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยปลูกถ่ายไต โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์

บทคัดย่อ

บทนำ: ยากดภูมิคุ้มกันมีบทบาทในการป้องกันการปฏิเสธไตเฉียบพลันในผู้ป่วยปลูกถ่ายไต อย่างไรก็ตามการปฏิเสธไตยังสามารถเกิดขึ้นได้แม้จะได้รับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกันอย่างเหมาะสม วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยากดภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยปลูกถ่ายไต ผลลัพธ์หลักคืออัตราการปฏิเสธไต ผลลัพธ์รองได้แก่ อัตราการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากยา อัตราการทำงานของไต อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วย และอัตราการรอดชีวิตของอวัยวะปลูกถ่าย วิธีการ: เป็นการศึกษาแบบย้อนหลังในผู้ป่วยปลูกถ่ายไตจำนวน 132 คนที่เข้ารับบริการที่แผนกไตเทียม โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 ถึง 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ผู้ป่วยที่เข้า การศึกษาจะถูกจัดกลุ่มตามสูตรยากดภูมิคุ้มกันที่ได้รับ ผลการศึกษา: จากผู้ป่วยที่เข้าการศึกษาจำนวน 103 คน ค่าเฉลี่ยอายุเท่ากับ 40 ปี เป็นเพศชายร้อยละ 68.9 เป็นไตจากผู้บริจาคสมองตายร้อยละ 83.5 มีผู้ป่วยจำนวน 9 คน, 89 คน และ 5 คนตามสูตรยาในระยะแรก และมีผู้ป่วยจำนวน 2 คน, 85 คน และ 16 คนตามสูตรยาในระยะยาว ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม cyclosporine, tacrolimus และ everolimus ตามลำดับ ค่าเฉลี่ยของ serum creatinine เท่ากับ 1.99±1.01 mg/dL, 1.59±0.85 mg/dL และ 1.54±0.63 mg/dL และค่าเฉลี่ยของ eGFR เท่ากับ 45.04±16.75 mL/min, 57.48±22.98 mL/min และ 69.46±23.29 mL/min ในกลุ่มที่ได้รับ cyclosporine, tacrolimus และ everolimus ตามลำดับ ในกลุ่มที่ได้รับ tacrolimus มีการทำงานของไตที่เหนือกว่า cyclosporine อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.0001) พบการปฏิเสธไต จำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 5.9 ซึ่งไม่แตกต่างกันในกลุ่มที่ได้รับ cyclosporine และ tacrolimus (11.1% vs. 5.6%; P=0.448) อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยและของอวัยวะปลูกถ่าย ที่ 3 เดือน คิดเป็นร้อยละ 97.1 และ 95.1 ตามลำดับ ส่วนที่ 1 ปี, 3 ปี และ 5 ปี คิดเป็นอย่างละร้อยละ 83.5, 46.6 และ 12.6 ตามลำดับ อัตราการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากยาไม่แตกต่างกันระหว่างกลุ่มผู้ป่วย และส่วนใหญ่จัดเป็นระดับความรุนแรง 1 และ 2 สรุปผล: ยากดภูมิคุ้มกันมีประสิทธิภาพในการป้องกันการปฏิเสธไต การได้รับ tacrolimus ทำให้การทำงานของไตเหนือกว่าสูตรอื่น และมีอัตราการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากยาที่ยอมรับได้