ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ของผู้สูงอายุในชุมชน

ผู้แต่ง

  • ชไมพร จั่นจุ้ย สาขาวิชาการพยาบาลผู้สูงอายุ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
  • วารี กังใจ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
  • พรชัย จูลเมตต์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

คำสำคัญ:

โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพ, พฤติกรรมการป้องกัน, โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019, ผู้สูงอายุ, แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ

บทคัดย่อ

โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา เป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุทั้งด้านร่างกาย จิตใจสังคม และเศรษฐกิจ จึงมีความจำเป็นต้องส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เหมาะสมและต่อเนื่อง การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 50 ราย สุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลองเเละกลุ่มเปรียบเทียบกลุ่มละ 25 รายด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพ ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบได้รับการดูแลตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และสถิติการทดสอบทีแบบ Paired t-test และ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกลุ่มทดลองในระยะหลังการทดลองมากกว่าในระยะก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (t24 = 12.05, p < .01) และคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกลุ่มทดลองในระยะหลังการทดลอง มากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (t48 = 2.75, p < .01) ในขณะที่ก่อนการทดลองคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบไม่แตกต่างกัน (t48 = 1.35, p = .18) ข้อเสนอแนะบุคลากรที่ปฏิบัติการด้านการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนสามารถ นำโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับผู้สูงอายุในชุมชนต่อไป

เอกสารอ้างอิง

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2565). สถานการณ์ covid-19 ในประเทศไทย. สืบค้นจาก https://media.thaigov.go.th/uploads/public_img/source/310865.pdf

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2565). โควิดป้องกันด้วย DMHT. สืบค้นจาก https://www.ddc.moph.go.th/odpc5/news.php?news=28696&deptcode=odpc5

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2566). กลุ่มเสี่ยง 608 เสี่ยงอาการรุนแรงจากโควิด 19. สืบค้นจาก https://ddc.moph.go.th/odpc5/news.php?news=34871&deptcode=odpc5#

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2563). คำแนะนำสำหรับผู้สูงอายุในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19). สืบค้นจาก https://covid19.anamai.moph.go.th

กรมสุขภาพจิต การทรวงสาธารณสุข. (2564). ความเสี่ยงและผลกระทบต่อผู้สูงอายุในช่วง Covid-19. สืบค้นจาก https://dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=30794

ประไพวรรณ ด่านประดิษฐ์ และพูนสุข ช่วยทอง. (2566). ผลของโปรแกรมการประยุกต์ใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อการรับรู้และพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 ผู้สูงอายุเบาหวาน. วชิรสารการพยาบาล, 25(1), 26-38.

ปาลียา ไชยะสิด, นุชรัตน์ มังคละคีรี, และเดชา ทำดี. (2566). ผลของโปรแกรมการส่งเสริมความเชื่อด้านสุขภาพต่อการรับรู้และการมารับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในกลุ่มผู้สูงอายุ จังหวัดสะหวันเขต สปป.ลาว. วารสารพยาบาลทหารบก, 25(1), 248-256.

รังสรรค์ โฉมยา และกรรณิกา พันธ์ศรี. (2563). ความตระหนักเกี่ยวกับพฤติกรรมการป้องกันการติดต่อโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) : การเปรียบเทียบระหว่างวัย. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 39(6), 71-82.

วิลาสินี หลิ่วน้อย, ไพบูลย์ พงษ์แสงพันธ์, กาญจนา พิบูลย์ และธรรมวัฒน์ อุปวงษาพัฒน์. (2566). ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการป้องโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของผู้สูงอายุในภาคตะวันออก. วารสารศูนย์อนามัยที่ 9: วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม, 17(2), 307-407.

ศตวรรษ อุดรศาสตร์, พรชัย จูลเมตต์ และนัยนา พิพัฒน์ วณิชชา. (2561). ภาระของผู้ดูแลชายที่ดูแลผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมองและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ (การประชุมสัมมนาวิชาการและนำเสนอผลงานวิจัยระดับชาติ “ราชธานี ครั้งที่ 3). อุบลราชธานี: มหาวิทยาลัยราชธานี.

ศูนย์บริหารสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019. (2565). สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019. สืบค้นจาก https://media.thaigov.go.th/uploads/public_img/source/310865.pdf

Burn, N., & Grove, S. K. (2005). The Practice of Nursing Research: Conduct, Critique, and Utilization (5th ed.). St. Louis, MO: Elsevier.

Colin, C., Wade, D. T., Davies, S., & Home, V. (1988). The Barthel ADL Index: a reliability study. International Disability Studies, 10(9), 61-63.

Jitapunkul, S., Kamolratanakul, P., Chandraprasert, S., & Bunnag, S. (1994). Disability among Thai elderly living in Klong Toey slum. Journal of the Medical Association of Thailand= Chotmaihet thangphaet, 77(5), 231-238.

Stretcher, V., & Rosenstock, I. M. (1997). The Health Belief Model. In Glanz K., Lewis F. M., & Rimer B. K., (Eds.). Health Behavior and Health Education: Theory, Research and Practice. San Francisco: Jossey-Bass.

World Health Organization. (2023). Who is most at risk of severe illness from COVID-19. Retrieved from https://www.who.int/emergencies/diseases/novelcoronavirus-2019/question-andanswers-hub/q-a-detail/coronavirusdisease-covid-19

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2024-12-27

รูปแบบการอ้างอิง

จั่นจุ้ย ช., กังใจ ว., & จูลเมตต์ พ. (2024). ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ของผู้สูงอายุในชุมชน. วารสารสุขภาพกับการจัดการสุขภาพ, 10(2), 196–207. สืบค้น จาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/slc/article/view/273819

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย