บริบทแวดล้อมและสถานการณ์ปัญหาสารเสพติดในกลุ่มนักเรียนอาชีวะ ภายใต้บริบทพื้นที่เสี่ยง สู่มาตรการป้องกันแก้ไขปัญหาเชิงบูรณาการ ระดับจังหวัด

ผู้แต่ง

  • วิภา ด่านธำรงกูล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คำสำคัญ:

ยาเสพติด, นักเรียนอาชีวศึกษา

บทคัดย่อ

สารเสพติดเป็นปัญหาที่ร้ายแรงส่งผลกระทบเชิงลบทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ทางด้านความมั่นคง สังคม เศรษฐกิจ และ สุขภาพ เชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่ทั้งระดับชาติ ชุมชน และบุคคล และที่สำคัญส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยเรียน ซึ่งมีบริบทแวดล้อมและการปรับตัวทางสังคมที่เอื้อให้เกิดโอกาสการเข้าไปเกี่ยวข้องกับสารเสพติดในรูปแบบต่างๆ หน่วยงานระดับนโยบายได้เห็นความสำคัญในการติดตามขนาดและความรุนแรงพฤติการณ์ด้านสารเสพติดของเด็กกลุ่มนี้ ทั้งนี้เพื่อสะท้อนถึงสภาพการแพร่ระบาดของสารเสพติดที่ค่อนข้างรุนแรงในสังคมและใช้ข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางกำหนดมาตรการป้องกันแก้ไขปัญหาสารเสพติดในสถานศึกษาต่อไป

        วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความชุกการใช้สารเสพติด พฤติการณ์จัดหา สนับสนุนและจำหน่ายสารเสพติดของนักเรียนอาชีวศึกษา ในบริบทพื้นที่เสี่ยงสูงระดับจังหวัด รวมทั้ง ปัจจัยที่เอื้อที่ให้สถานการณ์ในแต่ละพื้นที่มีความรุนแรงมากน้อยต่างกัน

วิธีการศึกษา เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา แบบภาคตัดขวาง กลุ่มศึกษาเป็นนักเรียนอาชีวะศึกษา ระดับ ปวช. ปีที่2 และ ปวส. ปีที่ 1 ในสถาบันอาชีวศึกษาจำนวน 28 แห่ง ใน 5 จังหวัด จากทุกภูมิภาค ได้แก่ จ.นครปฐม จ.พระนครศรีอยุธยา  จ.นครสวรรค์ จ.อุบลราชธานี และ จ.นครศรีธรรมราช เป็นพื้นที่ที่มีสถานการณ์แพร่ระบาดสารเสพติดค่อนข้างสูงถึงสูงมาก รวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยแบบสอบถามตอบเอง จำนวนตัวอย่างรวม 2,274 ราย เป็นชาย 1,401 ราย และ หญิง 873 ราย และ สัมภาษณ์ หรือสนทนากลุ่ม จำนวน 12 กรณี   รวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนธันวาคม 2556เดือนกุมภาพันธ์ 2557

ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มศึกษาเคยใช้สารเสพติดในชีวิตอย่างน้อย 1 ชนิด ร้อยละ 23.2  ในกลุ่มชายร้อยละ 31.5  สูงกว่าหญิง มากกว่า 3 เท่า  แต่ละจังหวัด ความชุกการใช้สารเสพติดอยู่ระหว่างร้อยละ 15.3-29.2 และ ความชุกการใช้สารเสพติดในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา  ลดลงเป็น  ร้อยละ 13.8  ในกลุ่มชายร้อยละ 18.8  มากกว่าหญิงประมาณ 3 เท่าเช่นกัน  และลดลงในทุกจังหวัดคืออยู่ระหว่างร้อยละ
8.6-21.6 และพบว่า จังหวัดที่มีอัตราการใช้สารเสพติดสูงสุดและต่ำสุดทั้ง 2 ช่วงเวลา  ได้แก่
จ. นครศรีธรรมราช และ จ. อุบลราชธานี ตามลำดับ สารเสพติดที่ใช้มากที่สุด 6 อันดับแรก
ทั้ง 2 ช่วงเวลา ได้แก่ กัญชา พืชกระท่อม ยาบ้า น้ำต้มใบกระท่อมผสมสารต่างๆ ยานอนหลับ/ยากล่อมประสาท และ ไอซ์ อยู่ระหว่างร้อยละ 16.1- 5.4  และ ร้อยละ 8.7 - 2.3 ตามลำดับ  พฤติการณ์การจัดหา สนับสนุนและ/หรือจำหน่ายสารเสพติดมี ร้อยละ 7.4 ในกลุ่มนักเรียนชายร้อยละ 9 .6 และนักเรียนหญิงมีร้อยละ 4  แต่ละจังหวัดอยู่ระหว่างร้อยละ 2.7-10.3  ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีการใช้สารเสพติดร่วมด้วย สาเหตุการใช้ส่วนใหญ่มาจาก อยากลองเอง หรือจากการชักชวนของเพื่อน รุ่นพี่ในโรงเรียน คนในชุมชน ญาติ และ แฟน  รวมทั้งการรับรู้ฤทธิ์ของสารเสพติดเชิงบวกและราคาของสารเสพติด นอกจากนี้พบการแพร่ระบาดของการใช้ยาในทางที่ผิด (ยาโปร) ในบางพื้นที่ โดยมีการปรับบรรจุภัณฑ์ ให้เหมาะสมต่อการพกพามาบริโภคในสถานศึกษา

สรุปผลและข้อเสนอแนะ

        ชนิดสารเสพติดที่มีการแพร่ระบาดในกลุ่มนักเรียน ยังคงเป็นสารเสพติดที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น และมีฤทธิ์ไม่รุนแรง ได้แก่ กัญชา และพืชกระท่อม รองลงมาเป็นสารเสพติดที่มีการแพร่ระบาดในทุกพื้นที่ หาซื้อได้ไม่ยาก เช่น ยาบ้า และ สารสมัยใหม่ที่ราคาค่อนข้างสูงอย่างไอซ์ซึ่งอัตราการใช้สารเสพติดแต่ละชนิดมาก-น้อย ในแต่ละจังหวัดแตกต่างกันตามบริบทพื้นที่ ราคา และความยากง่ายการเข้าถึงสารเสพติดแต่ละชนิด การกำหนดแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขปัญหาหรือเฝ้าระวังสารเสพติดในนักศึกษากลุ่มนี้ควรใช้มาตรการหรือกิจกรรมที่ส่งผลกระทบทั้งระดับกว้างและมีความจำเพาะระดับพื้นที่และกลุ่มเป้าหมายดังนี้คือ 1) ต้องให้โอกาสนักเรียนและครอบครัวของนักเรียนที่เกี่ยวข้องกับสารเสพติด ได้ปรับตัวด้านทัศนคติและเลิกพฤติกรรม เพื่อให้เกิดการยอมรับ ไม่มีการตีตราจากบุคคล
รอบข้าง2) มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนและจริงจังทั้งการบริหารจัดการและดำเนินงาน เพื่อให้นักเรียนเหล่านี้ลด ละ เลิกพฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง 3)  กลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงสารเสพติดหรือมีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้อง  เพื่อเป็นการป้องปราม ควรมีกระบวนการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจถึงผลและผลกระทบจากสาร
เสพติด มีการเฝ้าระวังตรวจสอบติดตามอย่างจริงจังและต่อเนื่อง  4) ต้องอาศัยความร่วมมือ ประสานงาน สนับสนุนและช่วยเหลือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งโรงเรียน สถานพยาบาล หน่วยงานด้านปราบปราม รวมทั้งครอบครัวและชุมชนและ ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเอาจริงเอาจังกับปัญหานี้เป็นลำดับต้นๆ เพื่อลดผลกระทบในสังคมโดยรวม

เอกสารอ้างอิง

เอกสารอ้างอิง
1. สุดใจ สุขะ. ความรุนแรงกับนักเรียนอาชีวะ ปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกของสังคม.[สืบค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2558].http://www.technologymedia.co.th/article/artickeview.asp?id=186
2. ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ สำนักงาน ป.ป.ส. แผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ. 2555 2555
3. กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน สถิติคดีเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีโดยสถานพินิจฯทั่วประเทศ จำแนกตามฐานความผิด ประจำปีงบประมาณ 2554-2557. [สืบค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2558].เข้าถึงได้จากhttps://www.m-society.go.th /ewt_news.php?nid = 13975.
4. วิภา ด่านธำรงกูล, อนุกุล รักษ์ธรรมเสมอ, สำรวจ วรเตชะคงคา, สุภาพร สวัสดิชัย และ สมปอง สิมมา ปัญหาสารเสพติดในวัยเสี่ยง? : ที่สังคมต้องเข้าใจ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จรัลสนิทวงศ์การพิมพ์ จำกัด; 2555.
5. กลุ่มเด็ก เยาวชนและสิ่งเสพติด สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.การศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์การค้าและการแพร่ระบาด:ข้อมูลยาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ถูกกักกันในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน กันยายน 2556
6. สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. รายงานผลการเฝ้าระวังพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไอวี กลุ่มนักเรียน ประเทศไทย ปี 2556. นนทบุรี : สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข; 2557.
7. บทความ งานป้องกันสารเสพติดในสถานศึกษา www.thaihealth.or.th/node/9830
8. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดปี 2558 : ยุทธศาสตร์การป้องกันกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปี 2558 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 หน้า 10-16

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2016-04-01

ฉบับ

ประเภทบทความ

นิพนธ์ต้นฉบับ