การศึกษาความเชื่อมั่นของแบบประเมินทักษะทางการพยาบาลเด็กวิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ระหว่างอาจารย์พยาบาลและ นักศึกษาพยาบาล
คำสำคัญ:
อาจารย์พยาบาล, นักศึกษาพยาบาล, แบบประเมินทักษะทางการพยาบาลเด็ก, ความเชื่อมั่นบทคัดย่อ
การประเมินทักษะทางการพยาบาลเด็กเป็นหนึ่งในการประเมินการเรียนการสอนภาคปฏิบัติ ในการพยาบาลเด็ก หากผู้ประเมินทั้งอาจารย์พยาบาลและนักศึกษาพยาบาลสามารถใช้แบบ ประเมินได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้การประเมินการเรียนการสอนภาคปฏิบัติในการพยาบาล เด็กมีคุณภาพเพิ่มขึ้น และส่งเสริมทักษะทางการพยาบาลเด็กได้ต่อไป การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์ เพื่อหาความเชื่อมั่นของแบบประเมินทักษะทางการพยาบาลเด็กวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ ระหว่างอาจารย์พยาบาลและนักศึกษาพยาบาลวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนที่ 1 นักศึกษาพยาบาล หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 2 ที่กำลังศึกษารายวิชาปฏิบัติการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหา สุขภาพ 1 ประกอบด้วย 1) ผู้ประเมินทักษะทางการพยาบาลเด็ก เป็นอาสาสมัคร 2 คน ในแต่ละ ทักษะ รวม 12 คน เพื่อใช้แบบประเมินทักษะทางการพยาบาลเด็กร่วมกับอาจารย์พยาบาล และ 2) ผู้ถูกประเมิน คือ นักศึกษาพยาบาลปฏิบัติการพยาบาลเด็ก 6 ทักษะ จำนวน 60 คน ส่วนที่ 2 อาจารย์พยาบาล เป็นอาสาสมัคร จำนวน 6 คน เพื่อใช้แบบประเมินทักษะทางการพยาบาลเด็ก ร่วมกับนักศึกษาพยาบาล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบประเมินทักษะทางการพยาบาลเด็ก ประกอบด้วย 6 ทักษะ ได้แก่ การให้นมทางสายยาง การพ่นยา การให้ออกซิเจน การจัดท่าระบาย เสมหะ การดูดเสมหะ และการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.67- 1.00 และความเที่ยง เท่ากับ 0.65-0.92 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน และการหาความเชื่อมั่นเป็นรายข้อ โดยใช้สูตรคำนวณความเชื่อมั่นจากการสังเกต ผลวิจัยประกอบด้วย 3 ส่วน 1) คะแนนของการใช้แบบประเมินทักษะทางการพยาบาลเด็กของนักศึกษาพยาบาล สัมพันธ์กับอาจารย์พยาบาล (r = 0.57-0.80, p< 0.05) 2) ค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินทักษะ ทางการพยาบาลเด็กระหว่างอาจารย์และนักศึกษาพยาบาลของทักษะจากมากไปหาน้อย คือ การ ให้ออกซิเจน (0.92) การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ (0.81) การจัดท่าระบายเสมหะ (0.75) การ พ่นยา (0.73) การดูดเสมหะ (0.73) และ การให้นมทางสายยาง (0.70) ตามลำดับ และ 3) ค่า ความเชื่อมั่นของแบบประเมินทักษะทางการพยาบาลเด็กระหว่างนักศึกษาพยาบาลและนักศึกษา พยาบาลของ 6 ทักษะจากมากไปหาน้อย คือ การให้ออกซิเจน (0.95) การให้สารน้ำทางหลอด เลือดดำ (0.92) การจัดท่าระบายเสมหะ (0.84) การพ่นยา (0.84) การดูดเสมหะ (0.77) และ การ ให้นมทางสายยาง (0.77) ตามลำดับ ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการใช้แบบประเมินทักษะ ทางการพยาบาลเด็กระหว่างนักศึกษาพยาบาลกับอาจารย์พยาบาลมีความเชื่อมั่นตรงกัน การ ศึกษาวิจัยครั้งต่อไป ควรศึกษาความเชื่อมั่นของการใช้แบบประเมินทักษะทางการพยาบาลเด็ก ระหว่างอาจารย์พยาบาลและอาจารย์พี่เลี้ยง เพื่อให้ได้แบบประเมินทักษะทางการพยาบาลเด็ก สำหรับการเรียนการสอนในโรงพยาบาลที่ดีต่อไป
เอกสารอ้างอิง
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์. หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2555). วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์: อุบลราชธานี; 2555.
Hatlevik, Ida Katrine. The theory practice relationship: reflective skills and theoretical knowledge as key factors in bridging the gap between theory and practice in initial nursing education. Journal of Advanced Nursing. 2012;68(2):868-877.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542 และที่แก้ไข เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545. กรุงเทพมหานคร: พริกหวานกราฟฟิค จำกัด; 2545.
คณะกรรมการการอุดมศึกษา, สำนักงาน. กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชาพยาบาล ศาสตร์ 2552 [อินเตอร์]. [เข้าถึงเมื่อ 20 ก.ย. 2559]. เข้าถึงได้จาก: http://www.mua.go.th/users/ he-commission/doc/law/ministry%20law/1-39%20TQF%20nursing%202552.pdf
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์. รายงานผลการดำเนินการของประสบการณ์ภาค สนาม (มคอ. 6) วิชาปฏิบัติการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ 1 2 และ 3. วิทยาลัยพยาบาล บรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์: อุบลราชธานี; 2559.
วิมลพรรณ สังข์สกุล, พัชรี ใจการุณ, สมรัก ครองยุทธ, กตกร ประสารวรณ์, และชนิกานต์ เกษมราช. การสร้างแบบประเมินทักษะการพยาบาลเด็กสำหรับนักศึกษาพยาบาล. วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2560;29(3):79-88.
วัจมัย สุขวนวัฒน์, ดวงหทัย ศรีสุจริต, และจิรภัคสุวรรณเจริญ. การพัฒนาแบบประเมินการปฏิบัติดาร พยาบาลมารดา มารกและการผดุงครรภ์โดยการกำหนดเกณฑ์การประเมินและเกณฑ์การให้คะแนน. การพยาบาลแลการศึกษา. 2555;5(2):77-87.
Faul F, Erdfelder E, Lang A-G, Buchner A. G*Power 3: A flexible statistical power anal ysis program for the social, behavioral, and biomedical sciences. Behavior Research Methods. 2007;39(2):175-91.
ศิริชัย กาญจนวาสี, ทวีรัตน์ ปิ ตยานนท์, ดิเรก ศรีสุโข. การเลือกใช้สถติที่เหมาะสมสำหรับการวิจัย. (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2551.
บุญใจ ศรีสถิตย์นรากูร. การพัฒนาและและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย: คุณสมบัติการวัดเชิง จิตวิทยา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2555.
Gisev N, Simon Bell J, F Chen T. Inter-rater agreement and inter-rater reliability: Key concepts, approaches, and applications. Research in Social and Administrative Phar macy, 9(3),330-3382012.
Watson P and Petrie A. Method agreement analysis: A review of correct methodology. Theriogenology. 2010, 73 (2): 1167-1179.
Wongpakaran N, Wongpakaran T, Wedding D, Gwet KL. A comparison of Cohen’s Kappa and Gwet’s AC1 when calculating inter-rater reliability coefficients: A study conducted with personality disorder samples. BMC Medical Research Methodology. 2013;13(1):61.
DeVito, J. A. The Interpersonal Communication Book (13th ed.). New Jersey:Pearson Education, Inc; 2013
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สาขาภาคเหนือ
เนื้อหาและข้อคิดเห็นใดๆ ที่ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมพยาบาลฯ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนเท่านั้น ผู้เขียนบทความต้องศึกษารายละเอียดหลักเกณฑ์การจัดทำต้นฉบับตามที่วารสารกำหนด และเนื้อหาส่วนภาษาอังกฤษต้องได้รับการตรวจสอบจากเจ้าของภาษามาแล้ว