ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด ในเขตจังหวัดชัยนาท

Main Article Content

Pichaya Kumtubtim
Pratuma Rithpho
Wongduan Suwannakeeree

บทคัดย่อ

การวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองและปัจจัยทำนาย พฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด กลุ่มตัวอย่างคือสตรีที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด ในเขตจังหวัดชัยนาท จำนวน 217 คน เลือกกลุ่มตัวอยา่ งตามเกณฑท์ ี่กำหนดโดยการสุม่ แบบใส ่ เครื่องมือ ที่เป็นแบบสอบถามที่สร้างขึ้นโดยใช้กรอบแนวคิดแบบแผนความเชื่อด้านของเบคเกอร์ (Becker, 1974) ประกอบด้วย 1) ปัจจัยร่วม 2) การรับรู้ 3) สิ่งชักนำให้เกิดการปฏิบัติพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง และ 4) พฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาของข้อมูล (CVI) เท่ากับ .83-.93 ตรวจสอบความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความรู้เรื่องโรคมะเร็งเต้านมและการตรวจเต้านมด้วยตนเองโดย ใช้สูตร KR-20 เท่ากับ .81 แบบสอบถามปัจจัยการรับรู้ แบบสอบถามปัจจัยชักนำให้เกิดการปฏิบัติพฤติกรรมฯ ใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .83-.90 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิง พรรณนา สัมประสิทธ์ิสหสัมพันธแ์ บบสเปยี แมนและเพียรส์ ัน และการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน) พบวา่ สตรีที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดมีพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองอยู่ในระดับสูง ( = 2.37 , S.D. = .32) สตรีที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดมีการรับรู้โดยรวมอยู่ในระดับสูง ( = 2.35 , S.D. = .21) มีเพียงการรับรู้ อุปสรรคของการตรวจเต้านมด้วยตนเองที่อยู่ในระดับปานกลาง ( = 1.78 , S.D. = .49) ส่วนสิ่งชักนำให้เกิด การปฏิบัติพฤติกรรมฯ ( = 2.65 , S.D. = .45) และปัจจัยร่วมด้านความรู้ฯ อยู่ในระดับสูง ( = 12.33 , S.D. = 1.91) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด ที่อยู่ในระดับปานกลางเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ได้แก่ การรับรู้ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยง ต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม (r = .488) สิ่งชักนำให้เกิดการปฏิบัติพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง (r = .425) และปัจจัยร่วมด้านความรู้เรื่องโรคมะเร็งเต้านมและการตรวจเต้านมด้วยตนเอง (r = .326) การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม (r = .238, p < .01) สิ่งชักนำให้เกิดการปฏิบัติพฤติกรรม การตรวจเต้านมด้วยตนเอง (r = .296, p < .01) และปัจจัยร่วมด้านความรู้ฯ (r = .310, p < .01) สามารถ ร่วมกันทำนายพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดได้ร้อยละ 31.0 (R2 = .310)

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
Kumtubtim, P., Rithpho, P., & Suwannakeeree, W. (2018). ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด ในเขตจังหวัดชัยนาท. NU Journal of Nursing and Health Sciences, 12(1), 106–116. สืบค้น จาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/NurseNu/article/view/161571
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

ณภัทรอร สุขมา. (2549). พฤติกรรมการป้องกันมะเร็ง
เต้านมของสตรีและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ
พฤติกรรมการป้องกันมะเร็งเต้านม (วิทยานิพนธ์
ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต). นครปฐม:
มหาวิทยาลัยคริสเตียน.
ดาริน โต๊ะกานิ. (2551). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม
การตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีที่มารับบริการ
ในคลินิกวัยทองของโรงพยาบาลในสามจังหวัด
ชายแดนภาคใต้ (วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาล
ศาสตรมหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย
นราธิวาสราชนครินทร์. นราธิวาส.
บุญใจ ศรีสถิตนรากูร. (2553). ระเบียบวิธีการวิจัยทาง
พยาบาลศาสตร์.(พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ:
ยูแอนด์ไออินเตอร์มีเดีย.
ประภาเพ็ญ สุวรรณ. (2542). ทัศนคติ: การวัดและการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอนามัย. กรุงเทพฯ:
วัฒนาพานิช.
ปราณปรียา โคสะสุ. (2552). พฤติกรรมการตรวจเต้านม
ด้วยตนเอง ของสตรีอาสาสมัครสาธารณสุข
จังหวัดอุบลราชธานี (วิทยานิพนธ์ปริญญา
พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต). อุบลราชธานี:
มหาวิทยาลัยราชภัฏ.
วาสนา หลาบหนองแสง. (2553). ปัจจัยที่มีผลต่อการ
ตรวจเต้านมด้วยตนเองในสตรีเขตเทศบาลเมือง
ร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด (วิทยานิพนธ์ปริญญา
พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ:
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข. (2557)
ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล พ.ศ. 2556.
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2556). การสำรวจอนามัย
การเจริญพันธ์ พ.ศ. 2555. สืบค้นจาก http://
www.ryt9.com/s/nso/1100742
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยนาท. (2557). สรุป
ผลการดำเนินงานตามนโยบายและตัวชี้วัด
พ.ศ. 2556. สืบค้นจาก http://203.157.210.2/
chainat/Supervision%20Guidelines%202557.
html
สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณ
สุข (2559). รายงานประจำปี 2558. สืบค้นจาก
http://thaincd.com/document/file/download/
paper-manual/Annual-report-2015.pdf
สืบค้น จาก https://www.m-society.go.th/article_
attach/11832/16129.pdf
หะสัน มูหาหมัด. (2556). ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง
เต้านม. สืบค้นจาก http://www.thaibreastcancer.
com/ca-137/
อาคม ชัยวีระวัฒนะ, เสาวคนธ์ ศุกรโยธิน, วีรวุฒิ อิ่ม
สำราญ, และธีรวุฒิ คูหะเปรมะ. (2551). แนวทาง
การตรวจคัดกรองวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็ง
เต้านม (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: โฆสิต
การพิมพ์.
American Cancer Society. (2015). Global Cancer Facts
& Figures 3rd Edition. สืบค้นจาก http://
www.cancer.org/acs/groups/content/@
research/documents/document/acspc-044
738.pdf
Becker. M. H. (1974). The health belief model and
personal health behavior. New Jersy: Health
education monographs.
Ogletree, R. J., Hammig, D. J. C., and Birch, D.A.,
(2004). Knowledge and intention of ninth-grade
girls after a breast self-examination programe.
Journal of School Health, 74(9), 365-369.
World Cancer Research Fund International. (2015).
Breast cancer statistics. Retrieved from http://
www.wcrf.org/int/cancer-facts-figures/dataspecific-
cancers/breast-cancer-Statistics
World Health Organization. (2012). Breast cancer:
prevention and control. Retrieved from http://
www.who.int/cancer/detection/breastcancer/
en/index3.html