ผลของโปรแกรมการกำกับตนเองด้านการออกกำลังกายต่อระดับความดันโลหิต ในผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ

Main Article Content

Nattiya Suphapu
Yuwayong Juntarawijit

บทคัดย่อ

การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการกำกับตนเองด้านการออกกำลังกาย ต่อระดับความดันโลหิตในผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุ โรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 30 คน โดยกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลปกติ กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการกำกับตนเองด้านการออกกำลังกาย ตามแนวคิดของ Kanfer and Gaelick (1991) ระยะเวลา 12 สัปดาห์ ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การติดตามตนเอง 2) การประเมินตนเอง 3)การเสริมแรงตนเอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป เครื่องวัดระดับความดันโลหิตมาตรฐานชนิดปรอท แบบตั้งโต๊ะและหูฟัง และโปรแกรมการกำกับตนเองด้านการออกกำลังกายของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง เก็บรวบรวมข้อมูล หลังทดลองในสัปดาห์ที่ 4, 8 และ 12 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ (ANOVA Repeated measures) และสถิติทดสอบทีแบบสองกลุ่มอิสระ (Independent t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1. กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการกำกับตนเองด้านออกกำลังกายก่อนการทดลอง หลังทดลอง สัปดาห์ ที่ 4 , 8 และหลังทดลองสัปดาห์ที่ 12 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) 2. กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยระดับความดันโลหิตซิสโตลิค หลังทดลองสัปดาห์ที่ 4, 8, และหลัง ทดลองสัปดาห์ที่ 12 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) ส่วนระดับความดันโลหิตไดแอสโตลิ คของกลุ่มทดลองหลังทดลองสัปดาห์ที่ 4 , 8 และหลังการทดลอง 12 สัปดาห์ไม่แตกต่างกัน 3. ค่าเฉลี่ยระดับความดันซิสโตลิคและไดแอสโตลิคของกลุ่มทดลองหลังการทดลองสัปดาห์ที่ 12 ต่ำกว่า กลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05)

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
Suphapu, N., & Juntarawijit, Y. (2018). ผลของโปรแกรมการกำกับตนเองด้านการออกกำลังกายต่อระดับความดันโลหิต ในผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ. NU Journal of Nursing and Health Sciences, 11(3), 70–80. สืบค้น จาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/NurseNu/article/view/113552
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

เกศินี แซ่เลา. (2555). ผลการออกกำลังกายด้วยการ
แกว่งแขนและการเดินที่มีผลต่อสุขสมรรถนะ
ของผู้สูงอายุ. วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาและ
สุขภาพ. 13(1), 92-103.
คลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรังโรงพยาบาลศรีนคร. (2557).
ตัวชี้วัดงานคลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง. สุโขทัย:
คลินิกโรคความดันโลหิตสูง.
ปิยนุช คนฉลาด. (2542). กายบริหารแกว่งแขน บำบัดโรค.
วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา. 12(1),
131-138.
ปุณยวีร์ ประเสริฐไทย. (2553). ผลของการออกกำลังกาย
ขนาดความหนักปานกลางที่บ้านในการลด
ความดันโลหิตของผู้ที่มีภาวะความดันโลหิต
เกือบสูง. วารสารสภาการพยาบาล, 25(4), 80-95.
เพ็ญศรี เมืองรี. (2557). ผลของโปรแกรมการจัดการตนเอง
ต่อพฤติกรรมสุขภาพและระดับแอลดีแอล
โคเลสเตอรอลของผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงไขมัน
ในเลือดผิดปกติ. วารสารการพยาบาลและสุขภาพ.
8(1) , 72-81.
ศุภวรรณ มโนสุนทร ,นพวรรณ อัศวรัตน์ และสุภาพร
พรมจีน. (2558). คูมื่อประเมินการดำเนินงานคลินิก
NCD คุณภาพ ปีงบประมาณ 2558. นนทบุรี:
สำนักงานโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค.
ศูนย์ข้อมูล สาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย. (2558). จำนวน
ผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดัน. สืบค้น
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2558, จาก http://info.skto.
moph.go.th/personchronic.
สถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์
กรมการแพทย์. (2555ก). คู่มือการให้ความรู้ เพื่อ
จัดการภาวะความดันโลหิตสูงด้วยตนเอง.
นนทบุรี: องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก.
สถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์
กรมการแพทย์. (2555ข). แนวทางเวชปฏิบัติการ
ออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวานและความดัน
โลหิตสูง. นนทบุรี: สำนักงานกิจการโรงพิมพ์
องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรม
ราชูปถัมภ์.
สมศักดิ์ ผดุงจิตร์. (2544). ผลของการออกกำลังกาย
แบบแกว่งแขนที่มีต่ออัตราการเต้นของหัวใจ
ความดันโลหิตและน้ำหนักร่างกายของหญิง
สูงอายุ. วิทยานิพนธ์ วท.ม., มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ.
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณ
สุข. (2557). จำนวนและอัตรา ผู้ป่วย โรคความ
ดันโลหิตสูงต่อประชากรแสนคน ปี พ.ศ.
2550-2556. สืบค้นเมื่อ วันที่9 มกราคม 2558,
จาก http://thaincd.com/information-statistic/noncommunicable-
disease-data.php.
สุกัญญา สุขวิญญา. (2551). ผลของโปรแกรมส่งเสริม
การจัดการตนเองต่อพฤติกรรมการควบคุม
โรคและระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยความ
ดันโลหิตสูง. วิทยานิพนธ์ พย.ม., มหาวิทยาลัย
นเรศวร,พิษณุโลก.
สุพิณญา คงเจริญ. (2556). ผลของโปรแกรมการกำกับ
ตนเองเพื่อควบคุมความดันโลหิตต่อพฤติกรรม
การกำกับตนเอง ระดับ ความดันโลหิตและ
ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองใน
ชาวไทยมุสลิมที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง.
พยาบาลสาร. 40(1), 23-33.
อภิชญา เสียงลือชา, ภัทราวุธ อินทรกำแพง และ
ถนอมศักดิ์ เสนาคำ. (2551). การศึกษาระดับ
ความหนักเบาของการออกกำลังกายแกว่งแขน
ขณะนั่งและยืนในคนปกติ. เวชศาสตร์ฟื้นฟูสาร.
18(3), 90-97.
Annual Epidemiological Surveillance-Report 2012.
(2012). โรคความดันโลหิตสูง(Hypertension).
Retrieved October 10, 2014,from http://www.
boe. moph.go.th/.
Chobanian, A.V., Bakris, G. L., Black, H. R., et al.
(2003). The Seventh Report of the Joint
National Committee on Prevention Detection,
Evaluation, and Treatment of High Blood
Pressure. The JNC 7 Report. JAMA. 289(19),
2560-2571.
Kanfer, F. H., & Gaelick -Buys, L. (1991). Selfmanagement
methods. In F. H. Kanfer, and A.
Goldstein (Eds.), Helping people change : A
textbook of methods, (4thed., p.305-360).
New York: Pergamon Press.
Whelton, S.P. Chin,A. Xin, X. & He,J. (2002). Effect of
aerobic exercise on blood pressure: A Meta-
Analysis of randomized, controlled trails.
Annals of Internal Medicine. 136(7), 493-503.
World Health Organization Regional Office for South-
East Asia. (September 2011). Hypertension fact
sheet Department of Sustainable Development
and HealthyEnvironments. Retrieved October
10, 2014, from http://www.searo.who.int/
entity/noncommunicablediseases/media/
noncommunicabledisease hypertension fs.pdf.