ทัศนคติเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ของเด็กนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนขยายโอกาสในจังหวัดสิงห์บุรี ปี พ.ศ. 2561
Main Article Content
บทคัดย่อ
ปัจจุบันเยาวชนจำนวนน้อยมากได้รับการเตรียมความพร้อมด้านความรู้ ทัศนคติ และทักษะชีวิตเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์อย่างเพียงพอ ส่งผลให้เยาวชนเหล่านั้นมีความเปราะบางต่อการถูกบังคับ ทำร้าย เอาเปรียบ การตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงการติดเชื้อเอชไอวี การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ของเด็กนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนขยายโอกาสจังหวัดสิงห์บุรี โดยใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูลเด็กนักเรียนหลังเข้ารับการอบรมแบบมีส่วนร่วมตามโครงการเสริมสร้างศักยภาพกลุ่มผู้ติดเชื้อและทักษะชีวิตในกลุ่มเยาวชนเพื่อป้องกันเอดส์จังหวัดสิงห์บุรี ปี พ.ศ.2560 – 2561 จำนวน 45 แห่ง 1,863 คน ภายใต้แนวคิดพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์กับความรัก, การรักนวลสงวนตัว ทักษะการปฏิเสธและการมีสิทธิที่จะปฏิเสธหรือป้องกันตัวไม่ให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์ก่อนเวลาอันควร และการเรียนเพศศึกษา ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนร้อยละ 25.4 มีทัศนคติที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน โดยเพศชายมีทัศนคติที่มีความเสี่ยงสูง ร้อยละ 30.4 มากกว่าเพศหญิง ร้อยละ 19.4 นักเรียนร้อยละ 34.0 คิดว่าการมีเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ถ้าเป็นส่วนหนึ่งของความรัก ร้อยละ 15.2 ยังมีความคิดว่าตนเองไม่มีสิทธิในการปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์กับแฟน ขณะที่ร้อยละ 22.3 ไม่ได้ตระหนักว่าการอยู่ด้วยกันกับแฟนตามลำพังเป็นสถานการณ์ที่ทำให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ จากการที่เด็กนักเรียนยังมีความเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ และขาดทักษะในการปฏิเสธ จึงเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งที่จะทำให้ผู้ปกครอง ครู และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเห็นความสำคัญในการสอดแทรกการสอนทักษะชีวิตให้แก่กลุ่มวัยรุ่นดังกล่าว และช่วยปรับเปลี่ยนแนวคิดของเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้ให้มีความหนักแน่น ที่จะครองตนละเว้นการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะมีวุฒิภาวะที่สามารถจัดการปัญหาและผลที่เกิดตามมาภายหลังการมีเพศสัมพันธ์ได้
Article Details
เอกสารอ้างอิง
2. Haffner DW. Facing facts: sexual health for American us adolescents. J Adolesc Health 1999; 22:453-9.
3. Ruangkanchanasetr S, Plitponkarnpim A, Hetrakul P, Konsakon R. Youth risk behavior survey: Bangkok, Thailand. J Adolesc Health 2005; 36:227-35.
4. ศรีศักดิ์ จามรมาร. ความคิดและพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่น: กรณีศึกษาเปรียบเทียบในมุมมองของวัยรุ่นที่อยู่ในระบบสายการศึกษาสายสามัญ(มัธยมปลาย)และสายอาชีพ(ปวช.). สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญร่วมกับคณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ในความสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) 30 ม.ค.- 6 ก.พ. 2547.
5. Meschke LL, Bartholomae S, Zentall SR. Adolescent sexuality and parent-adolescent processes: promoting healthy teen choices. J Adolesc Health 2002; 31(Suppl 6):264-79.
6. Agha S, Van Rossem R. Impact of a school-based peer sexual health intervention on normative beliefs, risk perceptions, and sexual behavior of Zambian adolescents. J Adolesc Health 2004; 34:441-52.
7. อุษาสินี ริ้วทอง. สาระสารพัน : บทความจาก teenpath. กรุงเทพฯ : องค์การแพท, 16 มกราคม 2552. ค้นหาและพิสูจน์ “สูตรการทำงานจากเอดส์...สู่เพศศึกษา”: สำเร็จหรือไม่...ต้องลงมือทำ !.[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.teenpath.net/content.asp?ID=729 สืบค้น 15 สิงหาคม 2561.
8. Manaboriboon B, Sujritpongsa S, Chomchai C, and Pornjamsai S. Sexual attitudes of adolescent girls after an interactive seminar on sexuality. Siriraj Med J 2006; 58: 654-657.
9. Agha S. An Evaluation of the effectiveness of a peer sexual health intervention among secondary-school students in Zambia. AIDS Educ Prev 2002; 14: 269-81.
10. Talashek ML, Norr KF, Dancy BL. Building teen power for sexual health. J Transcult Nurs 2003; 14: 207-16.
11. UNESCO. แนวทางเชิงวิชาการสากลของเพศวิถีศึกษา การใช้ข้อมูลเชิงหลักฐานสำหรับโรงเรียน ครู และผู้ให้ความรู้ด้านสุขภาพ. เล่มที่ 1 หลักการและเหตุผลของเพศวิถีศึกษา. แปลโดย Somjai Pramanpol. UNESCO Bangkok 2012; iii.
12. Silayan-go A. Youth to youth intervention. Integration 1998; 55: 26-7.
13. La Torre G, De Vito E, Martellucci L, Langiano E, Ricciardi G. Knowledge, attitudes, and practices regarding sexually transmitted diseases among students in 3 high in Cassino. Ann Ig 2002; 14: 233-42.
14. Rudrauff A. Student –centered sex education. Human development and family life bulletin. A review of research and practice 1999;4:4.