ปัจจัยทำนายการปรับตัวของญาติผู้ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังของปัจจัยพลังอำนาจในการดูแลสมาชิกที่ป่วย การรับรู้ภาวะสุขภาพของผู้ป่วยและการสนับสนุนทางสังคม
คำสำคัญ:
การปรับตัวของผู้ดูแล, การรับรู้ภาวะสุขภาพผู้ป่วย, การสนับสนุนทางสังคมที่ผู้ดูแลได้รับ, พลังอำนาจในการดูแลผู้ป่วย, ผู้ดูแลบทคัดย่อ
วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายการปรับตัวของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังในชุมชนเขตสาทร จำนวน 198 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการถดถอยพหุ ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 65.2) มีช่วงอายุระหว่าง 29-67 ปี อายุเฉลี่ย 55.1 ปี ร้อยละ 42.4 เป็นคู่สมรสของผู้ป่วย และร้อยละ 86.4 มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางกระดูกและกล้ามเนื้อ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน และมะเร็ง ปัจจัยที่สามารถร่วมทำนายการปรับตัวของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ พลังอำนาจในการดูแลผู้ป่วยของผู้ดูแล และการสนับสนุนทางสังคมที่ผู้ดูแลได้รับ โดยสามารถทำนายความแปรปรวนของ การปรับตัวได้ร้อยละ 57.5 มีสมการการทำนาย คือ การปรับตัวของผู้ดูแล = 0.909 - 0.471 ความสามารถในการดูแลผู้ป่วย - 0.306 การสนับสนุนทางสังคมที่ผู้ดูแลได้รับ + ความคลาดเคลื่อน
จากผลการวิจัย ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะว่า ในการส่งเสริมการปรับตัวของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง พยาบาลต้องให้คำแนะนำที่ถูกต้องในวิธีการดูแลผู้ป่วย สร้างความมั่นใจในการดูแล ติดตามและให้คำปรึกษาผู้ดูแลอย่างต่อเนื่องร่วมกับการแสวงหาแหล่งทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อช่วยสนับสนุนผู้ดูแลตลอดกระบวนการดูแล โดยเฉพาะในช่วงเวลา 3 เดือนแรกของการเจ็บป่วยที่ผู้ดูแลผู้ป่วยเริ่มปรับตัว
เอกสารอ้างอิง
กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. (2563). สถิติสาธารณสุข 2562. [ออนไลน์]. สืบค้นจาก https://dohdatacenter.anamai.moph.go.th/coverpage/fb2723a02584215397a686fd4f49b39a.pdf
จุฑารัตน์ รังษา, ยุวดี รอดจากภัย และไพบูลย์ พงษ์แสงพันธ์.(2559). ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจของผู้ดูแลและผู้ป่วยสูงอายุโรคเบาหวาน อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม.ศรีนครินทร์เวชสาร, 31(6), 377-383.
ธีรนันทน์ วรรณศิริ. (2562). พฤติกรรมการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยเบาหวานในครอบครัว. วารสารพยาบาลสาธารณสุข, 33(2), 76-95.
นิรชา ภูธนารักษ์ และภัควีร์ นาคะวิโร. (2563). ความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกเป็นภาระของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง. วารสารสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย,10(1), 1-11.
บุษยมาส บุศยารัศมี. (2561). ความต้องการการดูแลโดยทีมหมอครอบครัวของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในเขตเทศบาลนครนครปฐม.วารสารแพทย์เขต 4-5, 37(2), 192-200.
ภาวิณี พรหมบุตร, นพวรรณ เปียซื่อ และสมนึก สกุลหงส์โสภณ. (2563). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดในผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่บ้าน. รามาธิบดีพยาบาลสาร, 20(1), 82-96.
ยุซรอ เล๊าะแม, วันธณี วิรุฬห์พานิช และพิสมัย วัฒนสิทธิ์.(2559). ความสัมพันธ์ระหว่างภาระการดูแล แรงสนับสนุนทางสังคมและคุณภาพชีวิตของมารดาที่มีเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด.วารสารวิจัยการพยาบาลและสุขภาพ, 17(2), 27-42.
วัจนา ลีละพัฒนะ และ สายพิณ หัตถีรัตน์. (2559).สําานักข่าว Hfocus เจาะลึกระบบสุขภาพ “เมื่อผู้ดูแลทำไม่ไหวแล้ว (Working with caregiver burnout)”. สืบค้นจาก https://www.hfocus.org/content/2016/06/12274#comment-0.
วิภา เพ็งเสงี่ยม. (2560). การพัฒนาโปรแกรมการสร้างเสริมพลังอำนาจของผู้ดูแลผู้สูงอายุติดเตียงในชุมชน. วารสารการพยาบาลการสาธารณสุขและการศึกษา, 18(3), 83-95.
ศิริอร สินธุ, ปทุมทิพย์ อดุลวัฒนศิริ, เกศรินทร์ อุทริยะประสิทธิ์, รวมพร คงกำเนิด และวรรณวลี คชสวัสดิ์.(2563). การสังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายในการพัฒนารูปแบบบริการปฐมภูมิเพื่อดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง: กรุงเทพมหานคร.สืบค้น จาก https://kb.hsri.or.th/dspace/handle/11228/5180?locale-attribute=th.
สุภาพร แนวบุตร. (2558). ผลของโปรแกรมการเสริมพลังอำนาจต่อความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ดูแลผู้ป่วยในครอบครัว. วารสารการพยาบาลและการศึกษา, 8(4), 30-40.
สุปรีดา มั่นคง, ยุพาพิน ศิรโพธิ์งาม และศุภร วงศ์วทัญญู.(2559). บทบาทของผู้ดูแลผู้ป่วยที่ได้รับ การดูแลแบบประคับประคอง: การศึกษาเบื้องต้นเชิงคุณภาพ. วารสารสภาการพยาบาล, 31(4), 104-121.
สุวรรณี ละออปักษิณ. (2562). รายงานโครงการบริการวิชาการสู่สังคม 7 ปี การสนับสนุนการช่วยเหลือตนเองของครอบครัวที่มีปัญหาโรคเรื้อรัง.วิทยาลัยเซนต์หลุยส์: กรุงเทพฯ.
สันติชัย ฉำจิตรชื่น. (2558). “Crisis Intervention”. สืบค้น จาก https://med.mahidol.ac.th/ramamental/sites/default/files/public/pdf/Crisis%20Intervention.pdf
สำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล กรุงเทพมหานคร.(2553). แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพคนเมืองกรุงเทพมหานคร2553-2556. กรุงเทพฯ: สำนักยุทธศาสตร์และประเมินผลกรุงเทพมหานคร.
อรุณี ชุณหบดี, ธิดารัตน์ สภานันท์, โรชินี อุปรา และสุนารีภรณ์ ทองไสย. (2556). ความเครียดและความต้องการของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่บ้าน. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า.21(1), 1-9.
Aguilera D.C., and Messick J.M. (1982). Crisis Intervention theory and methodology. Missouri: The C.V. Mosby Company.
Cameron, J.I., Naglie, G., Silver, F. L., & Gignac, M. A. (2013). Stroke family caregivers' support needs change across the care continuum: A qualitative study using the timing it right framework. Disability & Rehabilitation, 35, 315-324. doi:10.3109/09638288.2012.691937. https://doi.org/10.3109/09638288.2012.691937
Cohen J. (1997). Statistical power for the behavioral sciences. (2nd ed). NY: Academic Press.
Dixey, R.(2013). Health promotion: global principles and practice.Wallingford, Oxfordshire: CABI. https://doi.org/10.1079/9781845939724.0000
Gordon, JR., Pruchno, RA., Wilson-Genderson, M., Murphy, WM., and Rose, M. (2012). Balancing Caregiving and Work: Role Conflict and Role Strain Dynamics.J Fam Issues.33(5), 662-689. https://doi.org/10.1177/0192513X11425322
Gottlieb, JL. (1985). Social participation of individuals in four rural community of the northeast: rural sociology. 4th ed. Columbia: University Missouri Press.
House, JS. (2001). Social isolation kills-but how and why. Psycho Med, 63, 273-274. https://doi.org/10.1097/00006842-200103000-00011
Jaracz, K., Grabowska-Fudala, B., Gorna, K., Jaracz, J., Moczko, J. & Kozubski, W. (2015). Burden in Caregivers of Long-Term Stroke Survivors: Prevalence and Determinants at 6 months and 5 Years After Stroke. Patient Counselling and Health Education, 98(8), 1011-1016. https://doi.org/10.1016/j.pec.2015.04.008
Kim, J., Han, Jeong Y., Shaw, BR., McTavish, FM., Gustafson DH. (2010). The Roles of Social Support and Coping Strategies in Predicting Breast Cancer Patients' Emotional Well-being: Testing Mediation and Moderation Models. J Health Psycho,15(4): 543-552. https://doi.org/10.1177/1359105309355338
Liu, Z., Heffernan, C., Tan, J. (2020). Caregiver burden: A concept analysis. International Journal of Nursing Sciences. 7(4): 438-445. https://doi.org/10.1016/j.ijnss.2020.07.012
Lundy, KS., & Janes, S. (2016). Community Health Nursing: Caring for the Public's Health. (3rd ed.). Massachusetts: Jones & Bartlett Learning.
Maurer, FA., & Smith, CM. (2013). Community/public health nursing practice: health for families and populations (5th ed.). St. Louis, Mo.: Elsevier/Saunders.
Nickerson, C. (2021). What is role strain? definition and examples. Simply Psychology. Retrieved from: https://www.simplypsychology.org/what-is-role-strain-in-sociology.html.
Orem DE. (1980). Nursing: concepts of practice (2nd ed). New York: McGraw-Hill.Rohrbaugh, M. J. (2021). Contructing We-ness: A communal Coping Intervention for Couples Facing Chronic Illness. Famjly Process. 61(1), 17-31. https://doi.org/10.1111/famp.12595
Ryan & McKenna, H. (2013). Familiarity as a key factor influencing rural family cares' experience of nursing home placement of an older relative: a qualitative study. Retrieved from https://bmchealthservres.biomedcentral.com/articles/10.1186/1472-6963-13-252. https://doi.org/10.1186/1472-6963-13-252
Seaward, BL. (2006). Managing Stress: Principles and Strategies for Health and Wellbeing. Portland, OR: Book News, Inc.
Spreitzer, G. M. (1995). Psychological empowerment in the workplace: Dimensions, measurement, and validation. Academy of Management Journal, 38(5): 1442-1465. https://doi.org/10.5465/256865
Zarit, SH., Todd, PA., & Zarit, JM. (1986) Subjective Burden of Husbands and Wives as Caregivers: A Longitudinal Study. Gerontologist, 26, 260-266. https://doi.org/10.1093/geront/26.3.260
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 วารสารสุขภาพกับการจัดการสุขภาพ

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
