การเปรียบเทียบผลลัพธ์การสอนโดยการบรรยายและการใช้สื่อวีดีทัศน์ในผู้ป่วยโรคต้อกระจก
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi Experiment Research) เพื่อเป็นการพัฒนาแนวทางการสอน ผู้ป่วยโรคต้อกระจก ในหอผู้ป่วยตา หู คอ จมูก โรงพยาบาลนครพนม จังหวัดนครพนม โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของ การสอนแบบบรรยายและการสอนโดยใช้สื่อวีดีทัศน์ในผู้ป่วยโรคต้อกระจก กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค ต้อกระจกมีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและเพศหญิง ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยตา หู คอ จมูกจำนวน 98 คน คือ กลุ่มการสอนแบบบรรยาย จำนวน 49 คนและกลุ่มการสอนโดยสื่อวีดิทัศน์ จำนวน 49 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลวิจัย ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป และแบบวัดความรู้และการปฏิบัติตัวในผู้ป่วยโรคต้อกระจก ซึ่งผ่านการ ตรวจสอบความตรงของเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ และทดสอบความเชื่อมั่นด้วยวิธีอัลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Coefficient + Alpha) ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดความรู้และการปฏิบัติตัวในผู้ป่วยโรคต้อกระจก เท่ากับ 0.72 เก็บ รวบรวมข้อมูล ในหอผู้ป่วยตา หู คอ จมูก ช่วงระหว่าง เดือน มีนาคม 2559 ถึง เดือน พฤษภาคม 2559 เลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สถิติอนุมาน ได้แก่ dependent t-test และ Independent t-test คะแนนความรู้หลังการสอนทั้งสองแบบคือแบบบรรยายและแบบใช้สื่อวีดีทัศน์เพิ่มขึ้นสูงกว่าก่อนการสอนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติและหลังการสอนคะแนนความรู้ระหว่างการสอนทั้งสองแบบไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ ข้อสรุปผลการวิจัย จากการสอนโดยการบรรยายและการสอนโดยใช้สื่อวีดีทัศน์ ในการดูแลตนเองของผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดตาต้อกระจกพบว่าไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ ดังนั้นทางหอผู้ป่วยจึงใช้วีดีทัศน์ที่สร้างขึ้นนี้นำไปใช้ในการสอนให้ความรู้ และพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดตาต้อกระจกแทนการสอนโดยการบรรยาย เพื่อใช้เป็น มาตรฐานในการสอนผู้ป่วยโดยใช้เป็นแนวทางเดียวกัน
References
กมลทิพย์ ด่านซ้าย. (2548). ผลของการสอนวิธีเช็ดตัวลดไข้แบบ Tepid Sponge ต่อความรู้ของ ผู้ดูแลเด็กก่อนวัย เรียน. ชลบุรี: คณะพยาบาลศาสตร์, มหาวิทยาลัยบูรพา
กิดานันท์ มลิทอง. (2543). เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม ( พิมพ์ครั้งที่ 2 ). กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์
เชียรศรี วิวิธสิริ. (2541) จิตวิทยาการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ และคนอื่นๆ. เอกสารการสอนชุดวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาเล่มที่ 1 หน่วยที่ 1-5. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช; 2543 : 731-6
ลัดดา ศุชปรีดี. (2543). เทคโนโลยีการเรียนการสอน. ชลบุรี: ภาควิชาเทคโนโลยีการศึกษา, มหาวิทยาลัยบูรพา. เอกสารการสอน
สมจิต หนุเจริญกุล (2534). ทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็ม. ใน สมจิตหนุเจริญกุล(บรรณาธิการ), การดูแลตนเอง: ศาสตร์และศิลปะทางการพยาบาล. กรุงเทพฯ: วิศิฏสิน
สมจิต หนุเจริญกุล. 2534. การดูแลตนเอง : ศาสตร์และศิลปทางการพยาบาล.กรุงเทพมหานคร: บริษัท วิศิฎสิน จำกัด.
สมเชาว์ เนตรประเสริฐ. (2543). ความสำคัญของสื่อการสอน. วันที่ค้นข้อมูล 10 ตุลาคม 2547, เข้าถึงจาก
http://www.edu.chula.ac.th/vijai Som.htm
สุกันยา ฉัตรสุวรรณ. 2539. ผลของการใช้กระบวนการกลุ่มในการสอนผู้ป่วยต่อระดับความวิตกกังวลก่อนผ่าตัดของผู้ป่วย โรคต้อกระจก. กรุงเทพมหานคร: วิทยานิ พนธ์ปริญญาโท, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุกันยา ฉัตรสุวรรณ, ปราณีชั้นศิริ, สุมาลา ทัศนานุตริยะ, กาญจนาภรณ์ ใสมรรคา, ยุวดี เกตสัมพันธ์, สิริวดี อันทรกำแหง ณ ราชสีมา, นุชนาถ บรรทุมพร. 2542. ประสิทธิผลของการให้ความร่วมมือกับการใช้คู่มือการปฏิบัติตัวผู้ป่วยโรคต้อกระจก. แผนกจักษุวิทยา, ฝ่ายการพยาบาล, โรงพยาบาลศิริราช.
สุรพล เวียงนนท์ และคณะ. ผลของการให้ความรู้ด้วยซีดีวีดิทัศน์ เรื่องการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของโรคธาลัสเมีย. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.ขอนแก่น; 2547.
สุณีพร ชัยมงคล. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคต้อกระจกในโรงพยาบาลเมตตา ประชารักษ์. วารสารกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข; 2543: 25(1): 26–9.
Bloom, A. 1975. Taxonomy of Education Objectives. New York: David McKayCompany.
Broome, M.E, Doken, D.L., Broome, C.D., Woodrint, B., & Stegelman, M.F. (2003). A study of parent/grandparent education for managing a febrile illness using the CALM approach. Journal of Pediatric Health Care, 17(4),176 – 183.
Orem, D.E. (1991). Nursing concepts of practice (4th ed.). St. Louis: Mosby Year Book.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2017 โรงพยาบาลนครพนม
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
- บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ โรงพยาบาลนครพนม
- ข้อความหรือข้อคิดเห็นต่างๆ เป็นของผู้เขียนบทความนั้นๆ ไม่ใช่ความเห็นของกองบรรณาธิการ