ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการพ้นสถานสภาพการเป็นอาสาสมัครในโครงการศึกษา วัคซีนเอดส์ทดลองระยะที่ 3 อ.เมือง จ.ระยอง
คำสำคัญ:
โครงการวัคซีนเอดส์ระยะที่ 3, การพ้นสถานภาพการเป็นอาสาสมัครบทคัดย่อ
การประเมินประสิทธิผลของวัคซีนเอดส์ทดลอง (HIV vaccine candidate) ในการวิจัยทางคลินิกระยะที่ 3 นั้น ต้องอาศัยอัตราการคงอยู่ติดตามผลในระดับที่สูงเพื่อให้ประเมินผลในทางสถิติได้ อำเภอเมืองระยอง เป็นหนึ่งในแปดอำเภอพื้นที่หลักในโครงการศึกษาวัคซีนเอดส์ทดลอง ฯ และมีอาสาสมัครจำนวนมากที่มีภูมิลำเนาต่างถิ่นมาทำงานในระยองซึ่งอาจส่งผลถึงการพ้นสถานภาพการเป็นอาสาสมัครได้ บทความนี้มีจุดประสงค์จะหาปัจจัยที่สัมพันธ์กับการออกจากการศึกษาโครงการนี้ มีอาสาสมัครจำนวน 3,480 ราย ที่คัดกรองระหว่างเดือนกันยายน 2546 ถึง เดือนธันวาคม 2548 ในอำเภอเมือง จังหวัดระยอง ข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ ได้แก่วันที่คัดกรองจำนวนอาสาสมัครที่คัดกรองวันเดียวกัน ภูมิลำเนา และการพ้นสภาพการเป็นอาสาสมัคร ทั้งนี้กำหนดให้ "วันคัดกรองหนาแน่น" หมายถึง วันที่มีจำนวนอาสาสมัครในอำเภอเมืองระยองคัดกรองรวมเกิน 13 ราย การพ้นสถานภาพการเป็นอาสาสมัครหมายถึงการถอนตัว การไม่มาตามนัดและติดต่อไม่ได้นานเกิน 1 ปี หรือเสียชีวิต ผลการศึกษาพบว่า จำนวนอาสาสมัครที่คัดกรองสูงสุดต่อเดือน คือ 229 ราย และต่ำสุดคือ 29 ราย จากอาสาสมัครที่คัดกรองทั้งหมด 3,480 ราย มีผู้ที่ผ่านเกณฑ์และเข้ารับวัคซีนหรือสารเลียนแบบจำนวน 2,304 ราย(ร้อยละ 66.2) อัตราการพ้นสถานภาพจากการศึกษาเท่ากับ ร้อยละ 4.4 โดยอัตราการพ้นสถานภาพของอาสาสมัครที่คัดกรองในวันคัดกรองหนาแน่นนั้น ไม่แตกต่างไปจากอาสาสมัครอื่น เมื่อพิจารณาภูมิลำเนา พบว่าอาสาสมัครที่มีภูมิลำเนานอกพื้นที่จังหวัดระยอง มีอัตราการพ้นสถานภาพสูงกว่าผู้ที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดระยอง (ร้อยละ 5.8% และ 3.0% ตามลำดับ, RR 1.92, 95% CI 1.28-2.86) นอกจากนี้แล้ว ไม่พบความสัมพันธ์กับปัจจัยอื่น ๆ อีก ในอนาคตนั้นการศึกษาที่ต้องมีอาสาสมัครจำนวนมากและติดตามต่อเนื่องค่อนข้างนาน ควรเน้นที่ให้คัดกรองผู้ที่มีภูมิลำเนาในพื้นที่ศึกษาวิจัยเป็นหลัก เพื่อป้องกันการพ้นสถานภาพ และควรมีกิจกรรมส่งเสริมสนับสนุนให้อัตราการมาตามนัดอยู่ในระดับสูงเพิ่มขึ้น
Downloads
เอกสารอ้างอิง
2. SW. Lagakos and AR. Gable (Editors), Committee on the Methodological Challenges in HIV Prevention Trials. Methodological Challenges in Biomedical HIV Prevention Trials. Available at http://www.nap.edu/catalog/12056.html
(access 1 March 2008)
3. Villacorta V, Kegeles S, Galea J, Konda KA, Cuba JP, Palacios CF, Coates TJ; NIMH Collaborative HIV/STD Prevention Trial Group. Innovative approaches to cohort retention in a community- based HIV/STI prevention trial for socially marginalized Peruvian young adults. Clin Trials. 2007; 4(1): 32-41.
4. Young AF, Powers JR, Bell SL. Attrition in longitudinal studies: who do you lose?. Aust N Z J Public Health. 2006; 30(4): 353-61.
5. Taylor-Piliae RE, Froelicher ES. Methods to optimize recruitment and retention to an exercise study in Chinese immigrants. Nurs Res. 2007; 56(2): 132-6.
6. Sapienza JN, Corbie-Smith G, Keim S, Fleischman AR. Community engagement in epidemiological research. Ambul Pediatr. 2007; 7(3): 247-52.
7. Golub ET, Purvis LA, Sapun M, Safaeian M, Beyrer C, Vlahov D, Strathdee SA. Changes in willingness to participate in HIV vaccine trials among HIV-negative injection drug users. AIDS Behav. 2005; 9(3): 301-9.
8. Kim YJ, Peragallo N, DeForge B. Predictors of participation in an HIV risk reduction intervention for socially deprived Latino women: a cross sectional cohort study. Int J Nurs Stud. 2006; 43(5): 527-34. Epub 2005 Sep 8.
9. Strycker LA, Duncan SC, Duncan TE, He H, Desai N. Retention of African-American and White youth in a longitudinal substance use study. J Ethn Subst Abuse. 2006; 5(3): 119-31.
10. Morin SF, Maiorana A, Koester KA, Sheon NM, Richards TA. Community consultation in HIV prevention research: a study of community advisory boards at 6 research sites. J Acquir Immune Defic Syndr. 2003; 33(4): 513-20.
11. Brown-Peterside P, Chiasson MA, Ren L, Koblin BA. Involving women in HIV vaccine efficacy trials: lessons learned from a vaccine preparedness study in New York City. J Urban Health. 2000;77(3): 425-37.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารควบคุมโรค ถือว่าเป็นผลงานทางวิชาการหรือการวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของกรมควบคุมโรค ประเทศไทย หรือกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนจำต้องรับผิดชอบต่อบทความของตน


